หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"31 ตุลาคม" ฤกษ์ดีที่จะเริ่มต้นร่ำรวยอมตะนิรันดร์กาล


31 ตุลาคม เป็นวันอะไร ? คำตอบส่วนใหญ่ที่ได้รับน่าจะเป็น วันฮัลโลวีนหรือวันปล่อยผีของฝรั่ง แต่หลายคนคงไม่ทราบว่า เมืองไทย วันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี เป็น "วันออมแห่งชาติ" ด้วย

คณะรัฐมนตรีกำหนดให้มีวันออมแห่งชาติมาตั้งแต่ปี 2541 จุดประสงค์เพื่อส่งเสริมให้คนไทยรักและตระหนักถึงความสำคัญของการออมเงิน เพื่ออนาคตที่มั่นคง

นอกจากการ "หาเงิน" ให้มากแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือ "การออม" เพื่อรักษาเงินที่ได้มา ทำให้มีชีวิตที่มั่นคง สามารถเอาไปใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือวัยเกษียณที่ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ อีกทั้งยังเป็นการฝึกทักษะการบริหารจัดการเงินอีกด้วย

ว่ากันว่า คนรวยไม่ใช่คนมีเงินเดือนสูงๆ หารายได้มากๆ แต่เป็นคนที่เก็บออมเงินได้มากกว่า (ส่วนใหญ่ประมาณสิบเปอร์เซนต์ของเงินเดือนเป็นอย่างน้อย) เราคงเคยพบคนเงินเดือนหลายหมื่นแตะหลักแสน ขับรถราคาแพง มีไลฟ์สไตล์หรูหราฟู่ฟ่า แต่แบกหนี้สินไว้เพียบ ไม่มีแม้กระทั่งเงินฝากธนาคาร ลงแบบนี้ถ้าชีวิตมีเรื่องวิกฤต คงต้องขายบ้านขายรถมาใช้จ่าย

ใครมีเงินออมเยอะว่าเยี่ยมแล้ว แต่ที่เยี่ยมกว่าคือ "นำเงินเก็บไปเพิ่มมูลค่า" ที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ วิธีบริหารจัดการเงินเก็บมีมากมายทั้งปลอดภัยหรือความเสี่ยงต่ำเช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นหู้บริษัทเอกชน กองทุนรวมตลาดเงิน ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ และความเสี่ยงสูงแต่ก็ได้ลุ้นผลตอบแทนที่สูงเช่นกันอย่าง ลงทุนในตลาดหุ้น ลงทุนใน TFEX (ตลาดซื้อชายอนุพันธ์ล่วงหน้า) กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมในทรัพย์สินทางเลือก เช่น ทองคำ น้ำมัน หรืออสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

การนำเงินเก็บไปบริหารจัดการในรูปแบบของการลงทุน เริ่มเป็นที่สนใจของคนไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สังเกตุได้จากการเผยแพร่แนวคิดมุมมองผ่านรายการทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออินเตอร์เน็ต คอร์สอบรมสัมมนา ฯลฯ ผู้สนใจเรื่องลงทุนไม่ได้มีเพียงผู้มีรายได้สูงหรือฐานะปานกลางระดับบวก แต่รวมถึงหนุ่มสาวที่เพิ่งทำงานใหม่ๆ รายรับน้อย แม้กระทั่งวัยรุ่นที่ยังเรียนหนังสือยังสนใจลงทุน ซึ่งนับเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับอนาคตของชาติที่จะได้พ้นจากภาพลักษณ์ "จน เครียด กินเหล้า" ที่นำมาล้อเลียนกัน

"การลงทุน" เป็นวิธีหารายได้แบบ Passive Income คือ เงินงอกเงยโดยไม่ต้องทำงานประจำ ต่างกับ Active Income ซึ่งต้องทำงานถึงมีเงิน งานหยุดเงินหยุด ใครสนใจวิธีหารายได้สองแบบนี้ สามารถอ่านได้จากหนังสือ "เงินสี่ด้าน" เขียนโดย โรเบิร์ต คิโยซากิ เจ้าของหนังสือซีรี่ส์ดัง "พ่อรวยสอนลูก" (Rich Dad Poor Dad)

นอกจากลงทุนแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่จะมีรายได้แบบ Passive คือ "เจ้าของธุรกิจ" ซึ่งคิโยซากิได้แจกแจงเส้นทางที่จะมีกิจการของตัวเองไว้ 3 แบบ คือ (หนึ่ง) การสร้างบริษัทใหญ่ๆเช่น เดลล์คอมพิวเตอร์ หรือฮิวเลตต์แพคคาร์ด ซึ่งเริ่มต้นในหอพักนักศึกษาและในโรงรถ , (สอง) การซื้อระบบแฟรนไชส์มาบริหารอย่างแม็คโดนัลด์ และ (สาม) การลงทุนในธุรกิจเครือข่ายหรือเอ็มแอลเอ็ม

สองแบบแรกต้องอาศัยเงินลงทุนก้อนโต ต้องใช้ทักษะความรู้ความสามารถประสบการณ์ทางธุรกิจ การตลาด การบริหาร การเงิน ฯลฯ ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ ต้องกระโดดลงไปทำธุรกิจช่วงเริ่มต้นอย่างเต็มเวลา และเต็มไปด้วยความเสี่ยง อาจต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดความทุกข์ ขณะที่ธุรกิจเครือข่าย เราสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ด้วยเงินลงทุนต่ำ ความเสี่ยงน้อย ทำงานหนักระยะเวลาหนึ่งก็สามารถเกษียณ แต่มีรายรับเข้ามาเรื่อยๆ และที่สำคัญ สามารถทำงานประจำต่อไปได้อีกด้วย

ถ้าสนใจนำเงินเก็บไปบริหารจัดการด้วยธุรกิจเครือข่าย คิโยซากิได้เขียนหัวข้อนี้ออกมาหนึ่งเล่มเต็มๆชื่อ "โรงเรียนสอนธุรกิจ สำหรับคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น" (Rich Dad's the Business School for People who Like Helping People) หนาประมาณสองร้อยหน้า หรืออาจได้จากบล็อกของผมคือ http://tapanaone.blogspot.com

ขอให้วันนี้ วันที่ 31 ตุลาคม เป็นวันเริ่มต้นสู่ความร่ำรวยแบบถาวร มีอิสรภาพทางการเงิน ใช้ชีวิตแบบเลือกได้ ของผู้อ่านทุกท่านครับ ^__^

"เอ็กซ์" ฐปน วันชูเพลา (ผู้เขียน)

ร่วมเรียนรู้เพื่อ "เปิดโอกาสใหม่ๆให้กับชีวิตhttp://www.elite-powerteam.com/tapana


เพื่อมอบกำลังใจอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้เขียน ^__^
ถ้าชอบกด Like ถ้าใช่กด Share ถ้าทั้งชอบทั้งใช่ กรุณากดทั้ง Like ทั้ง Share ได้เลยครับ อย่าได้เกรงใจ

ช่องทางติดต่อผู้เขียน …
อีเมล์  tapanaone@gmail.com
เฟซบุ๊ค  https://www.facebook.com/tapana.jcteam
แฟนเพจ  https://www.facebook.com/MLM.MoneyLovesMe
แบ่งปันมุมมอง ประสบการณ์ และโอกาสดี ๆ  http://tapanaone.blogspot.com และ http://www.bangsaensook.com/Business

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ธุรกิจเครือข่ายเป็นพระเอกหรือผู้ร้ายกันแน่

คุ้นเคยใช่ไหมครับกับโพสต์บนเฟซบุ๊คเชื้อเชิญให้ทำธุรกิจเครือข่าย..ทำงานเดือนเดียวได้หลักพัน หกเดือนได้หลักหมื่น ปีกว่าๆได้หลักแสน ห้าปีรับหลักล้าน แถมได้เที่ยวรอบโลก จ่ายจริง รับจริง เกษียณได้ไม่ต้องรออายุหกสิบ เลิกทำงานแต่รายได้ยังไม่หยุด ฯลฯ ก็เพราะโฆษณาที่ให้ความรู้สึกเหมือนเงินได้มาง่ายๆแบบนี้เอง (แม้ทำจริงได้จริงๆ) ภาพธุรกิจเครือข่ายจึงออกสีเทาๆ โดนมองในแง่ลบ

แต่ความจริงแล้ว ธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย (Network Marketing Business) หรือ เอ็มแอลเอ็ม (Multi-Level Marketing) เป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ รวมถึงชาติใหญ่ๆในโลกธุรกิจ ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการในปี 2555 ทั่วโลกมีนักธุรกิจเครือข่ายราว 91.5 ล้านคน หรือประมาณหนึ่งเปอร์เซนต์ของประชากรโลก (เจ็ดพันล้านคน) พวกเขาช่วยกันสร้างยอดขายมหาศาลถึง 1.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4.8 ล้านล้านบาท

สหรัฐอเมริกามีตลาดเอ็มแอลเอ็มใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก คิดเป็นสัดส่วนยี่สิบเปอร์เซนต์ของทั้งโลก ตามด้วยญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และบราซิล ถ้าพิจารณาระดับทวีป นักธุรกิจครือข่ายชุมนุมอยู่ในเอเชียมากที่สุดคือ 52 ล้านคน อเมริกาเหนือรองลงมา 16.3 ล้านคน ขณะที่แอฟริกาใต้น้อยที่สุดยังมีถึง 1.4 ล้านคน

เมืองไทย ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการอยู่ที่ 5.4 ล้านคน หรือประมาณ 8.1 เปอร์เซนต์ของฐานประชากร (67 ล้านคน) สามารถสร้างยอดขายรวมกันได้ถึง 8.3 หมื่นล้านบาท แถมแต่ละปียังมีอัตราเติบโตราว 5-7 เปอร์เซนต์ เอ็มแอลเอ็มจึงเป็นธุรกิจและอาชีพที่มีอนาคตสดใสทีเดียว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เพื่อนบ้านจะเข้ามาทำอาชีพนักขายอย่างถูกกฎหมายมากมายเช่น บริษัทซูเลียนมีชาวพม่ามากเป็นอันดับหนึ่งประมาณ 5,000 คน ทำยอดขายหลายสิบล้านบาทต่อเดือน ขณะที่งานบรรยายเปิดโอกาสทางธุรกิจหรือ OPP ของค่ายใหญ่ๆอย่าง จอยแอนด์คอยน์, คังเซน-เคนโก, ยูนิซิตี้, นีโอไลฟ์, กิฟฟารีน ต่างมีชาวพม่า ลาว และกัมพูชา เป็นจำนวนมากเดินทางไกลๆเข้ามานั่งฟังโอกาสทำเงินและพัฒนาคุณภาพชีวิต

มีการมองอนาคตของธุรกิจเครือข่ายในปี 2558 ยุคเออีซี (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) ซึ่งสิบประเทศในกลุ่มมีประชากรรวมกันกว่า 600 ล้านคน ว่า ยอดขายในไทยอาจทะลุหลักแสนล้านต่อปีทีเดียว เพราะช่วงสิบปีที่ผ่านมา บางบริษัทได้ปูพื้นรุกเข้าไปเปิดตลาดลาว พม่า กัมพูชา และเวียดนามแล้ว ไม่นับการซื้อขายบริเวณชายแดน จึงเชื่อได้ว่า เออีซีจะทำให้วงการเอ็มแอลเอ็มเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ นับเป็นเป็นรถด่วนสายธุรกิจที่น่าร่วมเดินทางไปด้วยมาก

เพราะอะไร คนทั่วโลกจึงหันมาทำธุรกิจเครือข่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถูกยกให้เป็น "อาชีพแห่งอนาคต"

ถ้าให้ตอบแบบสั้นๆ ก็เพราะเอ็มแอลเอ็มช่วยให้คุณมีธุรกิจของตัวเองโดยลงทุนต่ำ เสี่ยงน้อย ทำงานประจำต่อไปได้ ใช้เวลาเร็วที่จะคืนทุน และมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องถึงขั้นเกษียณหลังจากทำไม่กี่ปี

โรเบิร์ต คิโยซากิ เจ้าของหนังสือซีรี่ส์ดัง "พ่อรวยสอนลูก" ได้จัดธุรกิจเครือข่ายไว้ในกลุ่ม Business ซึ่งมีรายได้แบบ Passive Income ไม่ใช่กลุ่ม Small Business ในฝั่ง Active Income คิโยซากิถึงขนาดเขียนเรื่องธุรกิจเครือข่ายเป็นเล่มเดียวโดดๆชื่อ "โรงเรียนสอนธุรกิจ สำหรับคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น" (Rich Dad's the Business School for People who Like Helping People) หนาประมาณสองร้อยหน้า

คิโยซากิแนะนำชักชวนให้ผู้คนทำธุรกิจเครือข่ายทั้งที่ตัวเองไม่ได้ร่ำรวยขึ้นมาจากธุรกิจนี้ ว่ากันตามจริงเมื่อปี 1970 ช่วงที่เขากำลังก่อร่างสร้างตัว ทำทั้งงานประจำและธุรกิจส่วนตัว เพื่อนเคยชักชวนเขาให้เข้ามาทำธุรกิจดังกล่าว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจและไม่ได้คิดถึงธุรกิจเครือข่ายอีกเลยจนกระทั่งอีกสิบห้าปีต่อมา

คิโยซากิ กล่าวว่า "ทำงานให้ร่ำรวยไม่ได้ทำกันง่ายๆ กว่าผมจะเรียนรู้และได้ประสบการณ์จนสร้างธุรกิจสำเร็จขนาดนี้ ต้องใช้เวลามากกว่าสามสิบปี ต้องพบกับความล้มเหลวสองครั้ง แต่ธุรกิจเครือข่ายจะมอบ 'ระบบธุรกิจสำเร็จรูป' ให้กับคนที่ต้องการควบคุมอนาคตทางการเงินของตัวเอง"

กุญแจดอกสำคัญคือ "เครือข่าย" ... หลายคนใช้ประโยชน์จากพลังของเครือข่าย บางคนพึ่งพามันโดยไม่รู้สึกตัว บางคนรู้จักมันในชื่อ Connection บางคนลงเรียนหลักสูตรเพื่อสร้างคอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์ แฟรนไชน์อย่างร้านสะดวกซื้อเลข 7 ประสบความสำเร็จด้วยเน็ตเวิร์ค เครือข่ายโทรศัพท์มือถือนี่ก็ใช่

"พ่อรวย" เคยพูดกับคิโยซากิ ว่า "คนรวยมองหาวิธีสร้างเครือข่าย ขณะที่คนทั่วไปมองหางานทำ" ส่วนคิโยซากิเองก็บอกว่า "หลายบริษัทในอุตสหกรรมการตลาดแบบเครือข่าย พยายามเลี่ยงที่จะใช้คำว่า 'การตลาดแบบเครือข่าย' เพราะให้ความหมายไปในทางลบ แต่ 'เครือข่าย" นี่แหละเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จทางด้านการเงินอย่างแท้จริง"

เป็นอันรับประกันได้ว่า "พลังเน็ตเวิร์ค" พลักดันให้นักธุรกิจเครือข่ายรวยจริงรวยถาวรตามโฆษณาย่อหน้าแรกแน่นอน ขอเพียงเลือกทำกับบริษัทที่มีธรรมาภิบาล ทุ่มเททำงานเต็มที่ประหนึ่งเถ้าแก่หอบเสื่อหมอนใบมาจากโพ้นทะเล หนักเอาเบาสู้ ไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรค หมั่นเรียนรู้ทักษะด้านต่างๆพัฒนาตัวเอง

ก่อนเข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย ข้อมูลของบริษัทที่ต้องศึกษาให้มากเป็นพิเศษเพราะสำคัญต่อเส้นทางสู่เศรษฐีว่าใช้เวลาช้าเร็ว ขรุขระหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบ ก็คือ แผนธุรกิจหรือแผนการตลาด ของบริษัทนั้นๆ เพราะจะช่วยตอบคำถามว่า เราจะได้ผลตอบแทนจากการทำงานเอ็มแอลเอ็มอย่างไร อ่านแล้วจะเลิกสงสัยเลยว่า เศรษฐีเอ็มแอลเอ็มรวยได้อย่างไร เครือข่ายทำเงินให้เราแบบไหน มันต่างจากแชร์ลูกโซ่ที่ต้มตุ๋นตรงไหน

ท้ายที่สุด ข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้มีทัศนคติที่ดีต่อธุรกิจเครือข่าย ลุยงานได้ชนิดใจไม่เคลือบแคลงสงสัยอะไรอีก

เมื่อคิดดีทำดีพูดดีแล้ว "รวยแน่" คอนเฟิร์ม!!!

ร่วมเรียนรู้เพื่อ "เปิดโอกาสใหม่ๆให้กับชีวิต"  http://www.elite-powerteam.com/tapana

"เอ็กซ์" ฐปน วันชูเพลา (ผู้เขียน)


และเพื่อมอบกำลังใจอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้เขียน ^__^
ถ้าชอบกด Like ถ้าใช่กด Share ถ้าทั้งชอบทั้งใช่ กรุณากดทั้ง Like ทั้ง Share ได้เลยครับ อย่าได้เกรงใจ

ช่องทางติดต่อผู้เขียน …
อีเมล์  tapanaone@gmail.com
เฟซบุ๊ค  https://www.facebook.com/tapana.jcteam
แฟนเพจ  https://www.facebook.com/MLM.MoneyLovesMe
แบ่งปันมุมมอง ประสบการณ์ และโอกาสดี ๆ  http://tapanaone.blogspot.com และ http://www.bangsaensook.com/Business

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วางแผนชีวิตวัยเกษียณบนกองเงินกองทอง

เคยวาดภาพหรือเปล่าครับ ชีวิตวัยเกษียณของเราจะเป็นอย่างไร ทั้งสภาพของร่างกาย จิตใจ และเงินทอง ใครเตรียมพร้อมล่วงหน้าเป็นสิบๆปี ขอแสดงความยินดีด้วยครับที่จะได้เป็น ท่าน ส.ว. (สูงวัย) ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพแข็งแรง เตะปี๊บดัง จิตใจเบิกบาน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม มีเงินทองใช้สอย เอื้อให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี

ประเด็นเงินทอง คนไทยสมัยก่อนไม่น่าห่วง กรณีรับราชการ รัฐยังเลี้ยงดูดียามแก่เฒ่าด้วยเงินบำเหน็จบำนาญ ส่วนประชาชนทั่วไป คุณภาพชีวิตไม่เลวร้ายนัก เพราะข้าวของไม่แพง ดอกเบี้ยเงินฝากถือว่าสูง สิ่งฟุ่มเฟือยเย้ายวนใจให้จับจ่ายใช้สอยไม่ค่อยมี ชีวิตอาจไม่สุขีสุโขมาก แต่ไม่ลำบากยากเข็ญ ผิดกับคนสมัยนี้ ถ้าไม่วางแผนการเงินเห็นทีลำบาก หวังลูกหลานเลี้ยงเหมือนรุ่นปู่ย่าตายายของเราเห็นทีจะยาก "ตนเป็นที่พึ่งของตน" ดีที่สุด

จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย สัดส่วนการให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) สูงถึง 79 เปอร์เซ็นต์ เขียนให้ชาวบ้านเข้าใจง่ายๆก็คือ คนไทยสมัยนี้กู้ยืมหรือนำเงินนอนาคตมาใช้เพิ่มขึ้น ไม่ใส่ใจความพอเพียงและพิจารณาเหตุผลในการใช้จ่าย

นอกจากยืมเยอะยังเก็บน้อยด้วย เห็นได้จากสัดส่วนการออมต่อรายได้ของครัวเรือนไทย ลดจากร้อยละ 11.3 (ค่าเฉลี่ยระหว่างปี 2533-53) ลงเหลือเพียงร้อยละ 9.2 ในปี 2554 และถ้าดูจากสภาพแวดล้อมสังคมปัจจุบันเชื่อว่าปี 2555 คงต้องลดลงอีก

อีกทั้งยังสอดคล้องกับข้อมูลปี 2555 ของสถาบันวิจัยตลาดทุน ที่พบว่า แรงงานในระบบช่วงอายุ 40-60 ปี ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ออมเงินน้อยจนไม่มีเงินพอที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีคุณภาพสูงถึง 39 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสาเหตุมาจากภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สิน

คนไทยบางส่วนตกอยู่ในสภาพชีวิตแบบนี้เพราะ "นิสัยขาดวินัยทางการเงิน" คือไม่เก็บออม ไม่นำเงินไปลงทุนเพิ่มมูลค่า (ฝากธนาคารกินดอกเบี้ย ถึงน้อยแต่ยังดีกว่าไม่ทำอะไร) และซ้ำร้าย ยังใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัวเกินฐานะจนต้องกู้หนี้ยืมสิน แล้วแบบนี้จะไปเหลืออะไรให้ใช้หลังเกษียณละครับ

ใครที่อยากเสวยสุขบนกองเงินกองทองในวัยที่ไม่มีใครจ้างไม่มีเรี่ยวแรงทำงานประจำได้อีกแล้ว ต้องทำสิ่งตรงข้ามกับนิสัยที่อ้างในย่อหน้าก่อนหน้านี้คือ ใช้จ่ายประหยัดสมฐานะ ใช้จ่ายให้อยู่ในวงเงินที่หามาได้ เก็บออมเงินบางส่วนไว้ แล้วนำไปลงทุนเพิ่มมูลค่า เช่น ฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน ลงทุนในทองคำ กองทุนรวม ตลาดหุ้น อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ

งานเสริมหรืออาชีพสำรอง เป็นอีกวิธีที่จะรับประกันคุณภาพชีวิตที่ดีหลังเกษียณ เปรียบเสมือน "กระเป๋าเงินสำรอง" ที่ไม่เพียงเพิ่มรายได้อีกทางแต่ยังช่วยกระจายความเสี่ยง เป็นหลักประกันถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันกับงานประจำ เช่น ถูกลดเงินเดือน โดนไล่ออก เพราะโลกสมัยนี้เชื่อมต่อถึงกันหมด แม้บริษัทยังดูเข้มแข็งแต่กลับปิดตัวดื้อๆจากผลกระทบของเศรษฐกิจภายในและนอกประเทศ เช่นวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ทำให้หลายคนมองว่า งานที่มั่นคงไม่มีอีกแล้ว ขนาดบริษัทไฟแนนซ์ที่สร้างความมั่งคั่งให้กับเหล่ามนุษย์ทองคำ ยังล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว

พิษต้มยำกุ้งของไทยแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจประเทศเดียวส่งผลกระทบไปทั่วโลกรุนแรงขนาดไหน จากนั้นยังมีวิกฤติเศรษฐกิจอีกหลายครั้งที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกเช่น ซับไพร์มในอเมริกา วิกฤติเศรษฐกิจในกรีซ กระทั่งเหตุการณ์ที่ไม่ถึงขั้นวิกฤติอย่างปัญหาส่งออกของจีน นโยบายธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถสร้างความปั่นป่วนให้หลายประเทศได้

แล้วงานอะไรที่จะมาเป็นกระเป๋าเงินสำรองของเรา ?

ถ้าคิดน้อยๆ ก็เอาทักษะความสามารถส่วนตัวที่เก่งอยู่แล้วไปรับจ้างเป็นฟรีแลนซ์หรือเอาท์ซอร์ช เช่น แปลภาษา เขียนโปรแกรม ซ่อมไฟฟ้า ทำงานฝีมือ วาดภาพเหมือนภาพการ์ตูน ฯลฯ หรือคิดการใหญ่ พอมีเงินเก็บไว้ลงทุน ก็สร้างธุรกิจเล็กๆอย่างขายของบนอินเตอร์เน็ต ขายของตลาดนัด แผงลอย ซื้อแฟรนไชส์ข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ ขายกาแฟ ฯลฯ

แต่ไม่ว่างานมือปืนรับจ้างหรือธุรกิจเล็กๆมีจุดเหมือนกันอย่างหนึ่งคือ "ต้องออกแรง จึงได้เงิน" ทำฟรีแลนซ์หรือเอาท์ซอร์ช ถ้าไม่มีใครจ้าง ก็ไม่มีเงิน ส่วนพวกธุรกิจเล็กๆ อาจเจอสถาวะเงินเข้าสะดุดหรือหยุดไปเลยด้วยหลายเหตุผล เจ็บป่วย ฝนตกพายุเข้า ซัพพลายเออร์เบี้ยวไม่ส่งของ หรือเศรษฐกิจแย่ ทำให้ลูกค้าหาย กำลังซื้อหด สรุปคืองานที่ทำหยุดไม่ได้ ต้องทำงานไปเรื่อยๆ เพื่อให้เงินเข้าต่อเนื่อง

รายได้เข้ากระเป๋าเงินแบบ "ต้องออกแรง จึงได้เงิน" ฝรั่งบัญญัติศัพท์ไว้ว่า Active Income ซึ่งตรงข้ามกับ Passive Income ที่เป็นวิธีสร้างรายได้แบบเงินไหลเข้ามาเรื่อยๆแม้ตัวเองไม่เข้าออฟฟิศ ไม่ทำงาน นอนเล่นอยู่ในบ้าน พักผ่อนหย่อนใจที่ต่างจังหวัดต่างประเทศ

โรเบิร์ต คิโยซากิ เจ้าของหนังสือซีรี่ส์ดัง "พ่อรวยสอนลูก" เขียนไว้ในเล่ม "เงินสี่ด้าน" ว่า มีคนสองจำพวกที่ "ไม่ต้องออกแรง ก็ได้เงิน" คือ เจ้าของธุรกิจ และ นักลงทุน

เราคุ้นเคยกันดีกับเจ้าของธุรกิจ ซึ่งรับรายได้มาจากกิจการของตัวเอง ส่วนนักลงทุน ในอดีตเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับคนทั่วไป แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระแสลงทุนมาแรง โดยเฉพาะลงทุนในตลาดหุ้นที่เป็นช่วงกระทิง(ขาขึ้น) มีเศรษฐีอายุน้อยเกิดขึ้นมากมาย มีพ็อกเก็ตบุ๊คแนะเล่นหุ้นออกมาไม่ขาดสาย ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า รวมทั้งหนังสือลงทุนรูปแบบอื่นๆ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม ทองคำ อสังหาริมทรัพย์

เอ่ยถึงนักธุรกิจ จะเห็นภาพคนที่ใช้เงินลงทุนสูงเป็นหลักล้านบาท มีพนักงานหลักร้อย ต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ ใช้ทักษะความสามารถหลายด้าน ทั้งทางธุรกิจ การตลาด การบริหาร การเงิน ทรัพยากรบุคคล ฯลฯ เห็นแบบนี้แล้ว เจ้าของธุรกิจคงเป็นความฝันเกินเอื้อมสำหรับคนทั่วไปแน่นอน

อย่าเพิ่งล้มความฝันครับเพราะ โรเบิร์ต คิโยซากิ บอกว่า "ยังมีธุรกิจที่ลงทุนต่ำ เสี่ยงน้อย ใช้เวลารวดเร็ว และสามารถทำงานประจำไปด้วย"

ธุรกิจที่ว่าคือ ธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย (Network Marketing Business) เรียกสั้นๆว่า "ธุรกิจเครือข่าย" หรืออีกชื่อหนึ่ง เอ็มแอลเอ็ม (Multi-Level Marketing) ครับ

ลุยศึกษาหาความรู้ธุรกิจเครือข่ายกันอย่างจริงจัง เพื่อวันข้างหน้า เราจะได้มีเงินเข้าแบบ Passive คล้ายกับเงินบำนาญข้าราชการ และที่สำคัญ สามารถเกษียณได้ก่อนอายุ 60 ปีด้วย มีเรี่ยวแรงทำอะไรสนุกๆได้อีกเยอะ

ร่วมเรียนรู้เพื่อ "เปิดโอกาสใหม่ๆให้กับชีวิต"  http://www.elite-powerteam.com/tapana

"เอ็กซ์" ฐปน วันชูเพลา (ผู้เขียน)


และเพื่อมอบกำลังใจอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้เขียน ^__^
ถ้าชอบกด Like ถ้าใช่กด Share ถ้าทั้งชอบทั้งใช่ กรุณากดทั้ง Like ทั้ง Share ได้เลยครับ อย่าได้เกรงใจ

ช่องทางติดต่อผู้เขียน …
อีเมล์  tapanaone@gmail.com
เฟซบุ๊ค  https://www.facebook.com/tapana.jcteam
แฟนเพจ  https://www.facebook.com/MLM.MoneyLovesMe
แบ่งปันมุมมอง ประสบการณ์ และโอกาสดี ๆ  http://tapanaone.blogspot.com และ http://www.bangsaensook.com/Business

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หล่นมาจากฟ้า? อยู่เฉยๆก็รับเงิน

โดยส่วนตัวไม่รู้สึกว่าเสน่ห์ของ "ธุรกิจเครือข่าย" อยู่ที่จำนวนเงิน เพราะอีกหลายอาชีพก็ได้รับเงินก้อนโตพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่มองว่าเป็น "กระแสเงิน" ที่ไหลมาเรื่อยๆประหนึ่งสายน้ำมากกว่าครับ มีเงินเข้าทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร ได้แบบไม่รู้เนื้อตัว ตื่นขึ้นมาก็เจอเงินเพิ่มในบัญชีธนาคาร กำลังนั่งใจลอยก็มีข้อความเข้ามือถือแจ้งว่ามีเงินเข้า เซอร์ไพรส์แบบนี้เป็นใคร ใครก็เอาใช่ไหมครับ

รายได้ลักษณะนี้ ฝรั่งบัญญัติศัพท์ว่า Passive Income คือได้เงินแบบไม่ต้องออกแรง ตรงข้ามกับ Active Income ซึ่งเป็นวิธีหาเงินของคนส่วนใหญ่ในโลก ถ้าไม่ทำงานก็ไม่ได้เงิน มนุษย์เงินเดือน พ่อค้าแม่ขาย ฟรีแลนซ์ ล้วนจัดอยู่ในกลุ่มนี้ทั้งนั้น

เวลาไปนั่งฟังบรรยาย OPP เพื่อชักจูงกล่อมตะล่อมให้มาเป็นนักธุรกิจเครือข่าย รายได้แบบ Active กับ Passive ถือเป็นหัวข้อเด็ดที่ต้องนำมาพูดถึง สามารถโน้มน้าวให้คนฟังเคลิ้ม ฝันเห็นธนบัตรโผล่ออกมาจ๊ะเอ๋บ้าง แต่อีกใจหนึ่ง คงสงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร อยู่เฉยๆแต่รับเงิน หรือบริษัทพวกนี้มีธรรมเนียมแจกอั่งเปานอกเทศกาลตรุษจีน

เอ็มแอลเอ็มไม่ใช่องค์กรกุศลที่ไม่หวังผลกำไร บริษัทคิดอะไรทำอะไรต้องได้ผลประโยชน์เข้าตัวอยู่แล้ว เพียงแต่วิธีคิดมีเป้าหมายให้ win-win ทั้งบริษัทและนักธุรกิจเครือข่าย ซึ่งท้ายสุดแล้ว ถ้าคนทำงานยิ่งได้มากเท่าไร บริษัทจะได้เยอะทับทวีคูณ ก็ยุติธรรมดี

1.สมมุติคุณเป็นพนักงานขาย นอกจากได้รับเงินเดือนจากบริษัทแล้วยังได้ค่าคอมมิชชั่นด้วย เช่น รับเปอร์เซนต์ของราคาสินค้าต่อชิ้นที่ขายได้ และถ้ายอดขายรวมสูงกว่าเพดานที่บริษัทกำหนด เกินแสนบาทต่อเดือน ก็จะได้เปอร์เซนต์ที่สูงขึ้น จาก 3 เป็น 5 เปอร์เซนต์เป็นต้น

2.สมมุติคุณเป็นหัวหน้าทีมขาย มีลูกน้องสิบคน นอกจากคอมมิชชั่นยอดขายส่วนตัวแล้ว บริษัทยังแบ่ง 1 เปอร์เซนต์มาจากยอดขายรวมของลูกน้องแต่ละคนให้คุณด้วย และยิ่งยอดขายรวมทั้งทีมเกิน 1.5 ล้านบาท คุณจะได้เพิ่มเป็น 2 เปอร์เซนต์ เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้คุณพัฒนาลูกทีมเป็นนักขายชั้นเซียน

3.บริษัทมีนโยบายใหม่ อนุญาตให้พนักงานทุกคนสร้างทีมขายของตัวเองได้ จากที่คุณเคยมีลูกน้อง 10 คน ก็เพิ่มเป็น 10 ทีม แต่ละทีมมีลูกน้องไม่เท่ากัน แต่เพื่อให้มองภาพง่ายๆ ให้ลูกน้อง 10 คนแรกของคุณ มีลูกน้องในทีมตัวเอง 3 คนเท่ากัน รวมเป็น 30 คน ทั้งหมดถือเป็นลูกน้องแถวที่ 2 ของคุณ เพิ่มเติมจากลูกน้องแถวแรก 10 คน แต่ไฮไลท์อยู่ที่คุณยังได้คอมมิชชั่นจากผลงานของ 30 คนแถวสองนี่ด้วย

4.จากนโยบายดังกล่าว พนักงานขายแถวสอง 30 คน สามารถสร้างทีมของตัวเองได้ด้วย สมมุติว่า 30 คนมีลูกทีม 5 คนเท่ากัน นั่นคือ คุณมีลูกน้องแถวสามมากถึง 150 คน และเช่นเดิม คุณยังได้คอมมิชชั่นจากพนักงานขายทุกคนทั้งแถวหนึ่ง 10 คน, แถวสอง 30 คน และแถวสาม 150 คน (หัวหน้าทีมแถวสองและสาม ก็ได้คอมมิชชั่นจากพนักงานชั้นต่ำลงไปเช่นกัน)

อย่าสนใจเลยครับว่า บริษัทจ่ายคอมมิชชั่นแต่ละแถวอย่างไร มันสมองระดับนี้บวกลบคูณหารตัวเลขเงินพร้อมวางเงื่อนไข เพื่อจัดสรรผลตอบแทนแต่บริษัทยังมีกำรี้กำไรมหาศาลได้อยู่แล้ว

5.เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก พนักงานขายที่อยู่ภายใต้เครือข่ายของคุณมีหลักพัน ณ จุดจุดนี้ไม่รู้ใครเป็นใครแล้ว คุณรู้จักและดูแลสารทุกข์สุกดิบได้เพียงพนักงาน 2-3 แถวแรกเท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นร้อยๆคนนั้นก็มีหัวหน้าทีมระดับชั้นที่อยู่ใกล้เคียงดูแลสอนงานคอยแก้ไขปัญหากันไปณ จุดจุดนี้อีกที คุณไม่ได้ออกไปขายสินค้าเองแล้ว เงินเดือนจากบริษัทก็เอาไปทำบุญทำกุศล แค่คอมมิชชั่นจากพนักงานในเครือข่ายก็เพียงพอเลี้ยงชีพไปสบายๆแล้ว


เงินที่โผล่แบบไม่รู้ที่มาที่ไปในธุรกิจเครือข่าย มีต้นสายปลายเหตุคล้ายกับตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นนั่นเอง แม้ไม่ตรงความจริงเสียทีเดียวแต่คงพอทำให้เห็นภาพได้บ้างนะครับ นอกจากนี้แต่ละบริษัทก็มีแผนธุรกิจที่รายละเอียดแตกต่างกันไป บ้างก็ทำได้จริง บ้างก็ทำจริงได้ยาก บ้างก็สมเหตุสมผลทำได้ตลอดไป บ้างก็ทำได้ไม่กี่ปี บริษัทจ่ายผลตอบแทนไม่ไหว ต้องปิดกิจการเลิกไปเลย ตรงนี้ต้องเลือกบริษัทและศึกษาแผนธุรกิจให้ดีๆ

หลักสำคัญที่ธุรกิจเครือข่ายนำไปใช้กระจายผลตอบแทนคือ "หลักคานผ่อนแรง" ซึ่ง พอล เก็ตตี้ มหาเศรษฐีพันล้านคนแรกของโลก กล่าวไว้ว่า "ผมยินดีรับผลตอบแทนหนึ่งเปอร์เซนต์จากการทำงานของคนร้อยคน มากกว่าได้รับผลตอบแทนร้อยเปอร์เซนต์จากการทำงานของผมเพียงคนเดียว"

ดังนั้นถ้าเปรียบกับตัวอย่างข้างต้น

รับผลตอบแทนร้อยเปอร์เซนต์จากคนเดียว = กรณีที่ 1 = Active Income

รับผลตอบแทนหนึ่งเปอร์เซนต์จากคนร้อยคน = กรณีที่ 5 = Passive Income

กรณีที่ 1 เป็นวิธีทำงานหาเงินที่คนส่วนใหญ่บนโลกทำกัน และน่าจะเป็นเช่นนั้นต่อไป ส่วนกรณีที่ 5 เป็นวิธีของคนส่วนน้อย ประมาณหนึ่งเปอร์เซนต์ของประชากรโลกเท่านั้น แต่แนวโน้มจะมีผู้คนเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ช่วงที่คนคิดและทำแบบนี้ยังน้อย คู่แข่งก็น้อยแบบนี้ ลองตัดสินใจดูนะครับว่า จะปรับเปลี่ยนวิธีทำงานหาเงินดีไหม?

ร่วมเรียนรู้เพื่อ "เปิดโอกาสใหม่ๆให้กับชีวิต"  http://www.elite-powerteam.com/tapana

"เอ็กซ์" ฐปน วันชูเพลา (ผู้เขียน)


และเพื่อมอบกำลังใจอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้เขียน ^__^
ถ้าชอบกด Like ถ้าใช่กด Share ถ้าทั้งชอบทั้งใช่ กรุณากดทั้ง Like ทั้ง Share ได้เลยครับ อย่าได้เกรงใจ

ช่องทางติดต่อผู้เขียน …
อีเมล์  tapanaone@gmail.com
เฟซบุ๊ค  https://www.facebook.com/tapana.jcteam
แฟนเพจ  https://www.facebook.com/MLM.MoneyLovesMe
แบ่งปันมุมมอง ประสบการณ์ และโอกาสดี ๆ  http://tapanaone.blogspot.com และ http://www.bangsaensook.com/Business

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโ-ตร

คุณต้องเคยผ่านตาตัวเลขรายได้ทำนองนี้ของ "ธุรกิจเครือข่าย" บนโซเชียลมีเดียมาแน่

   3-4 พันบาท ภายในเจ็ดวัน
   ห้าหมื่นบาทต่อเดือน ภายในหนึ่งปี
   ห้าแสนขึ้นต่อเดือน ภายในสามปี
   ทะลุหลักล้านต่อเดือน ภายใน 5-6 ปี


...ข้อความชวนเชื่อข้างต้นเป็นความจริงครับ มีพยานบุคคลตัวเป็นๆให้จับต้องได้ (จำนวนเยอะด้วย) คุณก็เป็นแบบพวกเขาได้ถ้าไม่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม ทำไปบ่นไป หนักไม่เอาเบาไม่สู้ เงินไม่มางานไม่ไป แต่ต้องเป็นคนหนักเอาเบาสู้ ทุ่มเทแรงกายแรงใจเกินร้อย ไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรค ยึดคติล้มเหลวแต่ไม่ล้มเลิก ต้องทั้งอึดทั้งทึก สู้สู้สู้ ถ้ายังไปไม่ถึงรายได้ที่โฆษณากันจะไม่เลิกลาเด็ดขาด ไหวไหมครับเหนื่อยขนาดนี้สัก 5-6 ปี

ไม่ต้องอายครับถ้าตอบว่าไม่ไหวไม่เอา คนส่วนใหญ่ก็ตอบแบบนั้น เพราะถ้ามันง่ายจนใครๆก็ตอบว่า "ไหว! เอา! สู้ได้! ทำได้!" คงมีคนรวยเดินกันเกลื่อนเมือง โยนก้อนหินแบบมั่วๆเข้าไปในฝูงคนสักสามก้อน ต้องโดนหัวเศรษฐีสักคน

ผมก็เคยตอบแบบนั้นครับ แต่เปลี่ยนใจหลังจากอ่านเรื่องราวบทสัมภาษณ์ของกลุ่มคนที่แปรสภาพเป็นเศรษฐีหลังทำงานหนักในธุรกิจเครือข่ายหรือเอ็มแอลเอ็มมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แถมส่วนใหญ่เลือกทำงานต่อ ไม่ยอมเกษียณตัวเองทั้งที่ทำได้จากรายได้ก้อนโตที่ยังไหลเข้าบัญชีเรื่อยๆ แต่เป็นการทำเบาๆสบายๆมากกว่า ทำเพราะความเคยชิน และยังรู้สึกสนุกมีความสุขกับงานที่ทำอยู่

เท่าที่รับรู้มา เศรษฐีเอ็มแอลเอ็มไม่ได้ทำงานหนักหรือต้องสู้กับปัญหาอุปสรรคมากมายระดับโอเวอร์เกินมนุษมนาเจอะเจอ ว่ากันตามจริงยังเบากว่าเจ้าของบริษัทห้างร้านขนาดกลางถึงใหญ่ด้วยซ้ำ เพราะเอ็มแอลเอ็มเป็นธุรกิจสำเร็จรูป ที่ไม่ต้องสร้างโรงงาน ทำหน้าร้าน ผลิตสินค้าเอง เป็นการสร้างธุรกิจที่ลงทุนน้อย ลดความเสี่ยงเป็นเงาตามตัว งานหนักจึงอยู่ที่การบริหารจัดการ สื่อสาร โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ศึกษาเรียนรู้ พัฒนาตัวเองและธุรกิจมากกว่า ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่า ไม่ได้หนักหนาหรือต้องขยันมากไปกว่ามนุษย์เงินเดือนสักคนหนึ่งที่ต้องการความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่และรายได้เงินเดือนเลย

ที่ออฟฟิศ ไม่ว่าราชการ เอกชน หรือรัฐวิสาหกิจ มักจะพบคนทำงานที่ขยันมากๆ ยอมทำงานล่วงเวลา หอบงานกลับไปทำที่บ้าน วันหยุดก็ยังนึกถึงงานหรือทำงาน แน่นอนครับคนทำดีย่อมได้รับผล ได้เลื่อนชั้นเลื่อนขั้น ตำแหน่งก้าวหน้าขึ้นไปอยู่บนยอดๆของฝ่ายบริหาร ได้เงินเดือนเพิ่มมากกว่าเกณฑ์ มีโบนัสเป็นกำลังใจทุกปี กราฟชีวิตการงานก็ขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเกษียณ องค์กรมอบโล่เชิดชูให้เป็นแบบอย่างแก่พนักงานรุ่นหลัง ถ้าเป็นข้าราชการ คงมีเงินจากบำเหน็จบำนาญไว้ใช้สอยยามแก่เฒ่า ส่วนลูกจ้างบริษัทเอกชน ถ้ารู้จักเก็บหอมรอมริบ เอาไปลงทุนให้งอกเงยมากกว่าแค่เข้าธนาคารกินดอกเบี้ยฝากประจำ ก็น่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่สบายระดับหนึ่ง

เศรษฐีเอ็มแอลเอ็ม ก็ทำงานหนักและต้องผจญด่านชีวิตโหดๆพอๆกับมนุษย์เงินเดือนกลุ่มนี้ครับ แต่ความแตกต่างอยู่ที่..หยาดเหงื่อจากความเหนื่อยยากเป็นเสมือนน้ำที่รดลงไปทำให้ธุรกิจของเราเจริญเติบโตงอกงาม ไม่ใช่ธุรกิจของคนอื่นครับ บวกกับด้วยความที่เป็นธุรกิจสำเร็จรูป มีบริษัทสนับสนุนเรื่องผลิตภัณฑ์สินค้า การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ข้อมูลทักษะความรู้ ฯลฯ ซึ่งตรงนี้เองครับที่ช่วยแบ่งเบาภาระของนักธุรกิจเครือข่ายลงไปได้มาก ผลลัพธ์จะมากน้อยอย่างไรจึงขึ้นอยู่กับความทุ่มเทส่วนตัวล้วนๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องการเมืองในออฟฟิศ การเลื่อยขาเก้าอี้ หรือเหยียบบ่ากันขึ้นไป

ตัวแปรสำคัญของรายได้ 3-4 พันบาท ภายในเจ็ดวัน, ห้าหมื่นบาทต่อเดือน ภายในหนึ่งปี, ห้าแสนขึ้นต่อเดือน ภายในสามปี และทะลุหลักล้านต่อเดือน ภายใน 5-6 ปี ขึ้นอยู่กับ "แผนธุรกิจหรือแผนการตลาด" ของบริษัทธุรกิจเครือข่ายที่เราเลือกว่าเป็นไปได้จริงไหม ยากง่ายแค่ไหน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาให้รู้ลึกรู้จริง เพื่อจะได้เห็นแนวทางการทำงานว่าต้องเป็นไปในรูปแบบไหน มีเส้นทางมีเป้าหมายแบบไหน ที่จะทำให้เราได้รับผลตอบแทนสูงสุด

ฟังดูเหมือนทางลัด แต่จริงๆไม่ใช่ครับ การตีแตก "แผนธุรกิจ" ของบริษัทได้ จะช่วยให้เราทำงานและสร้างผลงานบนถนนเอ็มแอลเอ็ม ให้เดินไปถึงเป้าหมายทางการเงินได้เร็วและสะดวกสบายขึ้น คือไม่ต้องเหนื่อยเกินความจำเป็นเท่านั้นเอง

ไหนๆต้องเหนื่อยแล้ว จะดีกว่าไหมครับถ้าเหนื่อยกับธุรกิจตัวเอง แถมเป็นการเหนื่อยชั่วคราว ก่อนสบายชั่วโ-ตร อีกด้วย ^__^

"เอ็กซ์" ฐปน วันชูเพลา (ผู้เขียน)

ร่วมเรียนรู้เพื่อ "เปิดโอกาสใหม่ๆให้กับชีวิต"  http://www.elite-powerteam.com/tapana

และเพื่อมอบกำลังใจอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้เขียน ^__^
ถ้าชอบกด Like ถ้าใช่กด Share ถ้าทั้งชอบทั้งใช่ กรุณากดทั้ง Like ทั้ง Share ได้เลยครับ อย่าได้เกรงใจ

ช่องทางติดต่อผู้เขียน …
อีเมล์  tapanaone@gmail.com
เฟซบุ๊ค  https://www.facebook.com/tapana.jcteam
แฟนเพจ  https://www.facebook.com/MLM.MoneyLovesMe
แบ่งปันมุมมอง ประสบการณ์ และโอกาสดี ๆ  http://tapanaone.blogspot.com และ http://www.bangsaensook.com/Business

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีแก้อาการผวา "ธุรกิจเครือข่าย"


มนุษย์มักกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ ถ้ารู้แล้ว ไม่กลัวหรอกครับ คนเราชอบดูหมอให้ทำนายดวงชะตา เพราะอยากรู้อยากเห็นอนาคต จะได้สบายใจ แต่ไม่เห็นมีใครกลัวอดีตที่ผ่านมาแล้วเลย

ธุรกิจเครือข่าย ก็ดูน่ากลัว ไม่น่าเข้าไปข้องแวะ เพราะคนในที่ทำให้ภาพวงการนี้แปดเปื้อนก็มีอยู่จริง แต่คนดีๆทำมาหากินสุจริตก็มีอยู่เยอะ และมากกว่าด้วยซ้ำ ไม่งั้นธุรกิจเครือข่ายคงไม่เติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญผู้คนทั่วโลกยินดีเดินบนถนนเอ็มแอลเอ็มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จะรู้จริง ต้องศึกษาครับ เอาให้ชัดอะไรคือเครือข่ายลวงโลกขายฝัน อะไรคือเครือข่ายดีๆ แยกแยะถูกเมื่อไร ก็ลุยได้เลยครับ ทำจริง สู้จริง รวยแน่ เริ่มอ่านบทความ 10 เรื่องจากเว็บไซต์ของ สคบ. (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) ก่อนละกันตามลิงค์ข้างล่าง ผมรวมไฟล์ไว้ให้แล้วเพื่อความสะดวก ถ้าสนใจก็ส่งอีเมล์มาขอกันได้ครับที่ tapanaone@gmail.com เขียน subject ว่า "ขอไฟล์บทความจากสคบ." แล้วรอรับได้เลยครับ


หรือถ้าอ่านแล้ว สนใจอยากลงมือทำธุรกิจเครือข่ายอย่างจริงจังล่ะ เชิญร่วมเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อ "เปิดโอกาสใหม่ๆให้กับชีวิต" ได้ที่  http://www.elite-powerteam.com/tapana

1.ขายตรง ขายฝัน หรือ ลวงโลก
http://www.ocpb.go.th/ewtadmin/ewt/ocpb_web/download/pdf/a1.pdf

2.แชร์ลูกโซ่กับเครือข่ายคนโลภ 
http://www.ocpb.go.th/ewtadmin/ewt/ocpb_web/download/pdf/a2.pdf

3.นักเรียนนักศึกษาระวังตกเป็นเหยื่อ 
http://www.ocpb.go.th/ewtadmin/ewt/ocpb_web/download/pdf/a3.pdf

4.โกงที่ไม่มีวันหมดสินเมื่อคนยังมีความโลภอย่างไร้สติ 
http://www.ocpb.go.th/ewtadmin/ewt/ocpb_web/download/pdf/a4.pdf

5.แชร์ลูกโซ่ยุคใหม่อ้างสินค้าบังหน้ากู้หนี้เกษตรกร
http://www.ocpb.go.th/ewtadmin/ewt/ocpb_web/download/pdf/a5.pdf

6.พฤติกรรมโดยรวมที่อ้างการประกอบธุรกิจขายตรงไปกระทำผิดกฎหมาย 
http://www.ocpb.go.th/ewtadmin/ewt/ocpb_web/download/pdf/a6.pdf

7.ข้อพึงสังเกตความแตกต่างธุรกิขายตรงกับธุรกิจขายตรงแอบแฝง (แชร์ลูกโซ่)  
http://www.ocpb.go.th/ewtadmin/ewt/ocpb_web/download/pdf/a7.pdf

8.การขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ตเป็นธุรกิจตลาดแบบตรงที่ต้องจดทะเบียนต่อ สคบ. 
http://www.ocpb.go.th/ewtadmin/ewt/ocpb_web/download/pdf/a8.pdf

9.ระวังถูกหลอกให้เข้าร่วมธุรกิจแชร์ลูกโซ่  
http://www.ocpb.go.th/ewtadmin/ewt/ocpb_web/download/pdf/a9.pdf

10.สิ่งที่ผู้บริโภคควรรู้และนักขายตรงพึงกระหนักในธุรกิจขายตรง 
http://www.ocpb.go.th/ewtadmin/ewt/ocpb_web/download/pdf/a10.pdf

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

มาเป็นนักธุรกิจอิสระห้าสิบยังแจ๋วกันเถอะ

ผู้ใหญ่วัยสี่สิบหยกๆห้าสิบหย่อนๆ ถ้าตัดสินใจทำธุรกิจเครือข่าย ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง เพราะความได้เปรียบจากประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ช่วยให้เรียนรู้ทักษะความรู้ต่างๆได้ง่าย ตีแตกความสลับซับซ้อนของแผนการตลาด เอาตัวรอดจากปัญหาอุปสรรค มีความหนักแน่นมั่นคงทางอารมณ์ ไม่ท้อถอยถอดใจง่ายๆ และที่สำคัญ สำหรับบางคนแล้ว ความแก่ก็มาพร้อมกับการดูดีดูน่าเชื่อถือ

โลกวันนี้แบ่งคนเป็น 4 ยุค หรือ 4 เจน (Generation) เริ่มตั้งแต่เด็กที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงพ.ศ.2489-2507 อายุ 49-67 ปี เรียกว่า Baby Boomers หรือ เจนบี ตามด้วย เจนเอ็กซ์ พ.ศ.2508-2522 อายุ 34-48 ปี, เจนวาย พ.ศ.2523-2543 อายุ 13-33 ปี และ เจนแซด เป็นเด็กที่เกิดตั้งแต่ พ.ศ.2544 ขึ้นไป

ปีเกิดของผม (ผู้เขียน) ตกอยู่ปีสุดท้ายของเจนบี ความรู้สึกนึกคิดจึงกระเดียดไปทางเจนเอ็กซ์มากกว่า ซึ่งทางทฤษฏี พฤติกรรมเป็นพวกชอบอะไรง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตรอง ไม่บ้างาน ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance พยายามมีเวลาให้ครอบครัว มีแนวคิดการทำงานในลักษณะรู้ทุกอย่าง ทำทุกอย่างได้เอง ไม่พึ่งใคร แต่ก็มีความคิดเปิดกว้าง พร้อมฟังข้อติติง เพื่อปรับปรุงพัฒนาตนเอง

ว่ากันเฉพาะคนทำงานวัยสี่สิบปลายๆถึงหกสิบ หรือเกิดช่วงรอยต่อระหว่างเจนบีกับเอ็กซ์ ส่วนใหญ่มีงานการชนิดปักรากลงฐานเหนียวแน่น เงินมากน้อย ชีวิตออฟฟิศสุขทุกข์อย่างไร ปูนนี้แล้วคงไม่คิดมองหางานใหม่ จะดีจะชั่วก็พยายามทำใจปล่อยวาง ประคับประคองงานเก็บหอมรอมริบเงินจนถึงวัยเกษียณ อยู่กับลูกหลาน รักษาสุขภาพกายใจให้แข็งแรง จากโลกไปด้วยความสงบสุข

ถ้าเปรียบงานเป็นกีฬา คนวัยนี้กำลังเล่นโหมด Play Safe ไม่เอาความมั่นคงหรือรายได้ที่รับแน่ๆไปเสี่ยงกับอนาคตที่คาดเดาไม่ได้ เขียนแบบหยาบๆก็ กำอุจจาระดีกว่ากำตด แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า คนเจนบีต่อเจนเอ็กซ์จะงอมืองอเท้า ไม่คิดไม่ทำอะไรเพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นนะครับ แต่วัยปูนนี้แล้ว จะโลดโผนโจนทะยานเหมือนหนุ่มสาวคงไม่ไหว ต้องอาศัยลูกเก๋า เคลื่อนไหวตัวน้อยๆ ใช้สมองคิดหาช่องทาง พอเห็นลู่ทางชัดๆ แล้วค่อยทุ่มเรี่ยวแรงที่มีอยู่อัดไปเต็มเหนี่ยว ตูม!!! โป้งปิดบัญชี

เชื่อหรือไม่ครับ ธุรกิจเครือข่ายหรือเอ็มแอลเอ็ม ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่น่าไว้ใจ ต้มตุ๋นหลอกลวง ต้องขายสินค้า ชักชวนคนมาร่วมเครือข่ายธุรกิจ ขนาดหนุ่มสาวเจนวายที่เปิดกว้างพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ ยังลังเล บ้างก็หนีห่างไปเลย แต่คนวัยสี่สิบหยกๆ ห้าสิบหย่อนๆ กลับทะยอยเดินบนถนนเอ็มแอลเอ็มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้จำนวนอาจไม่มากเหมือนเทียบกับคนวัย 20-30 แต่เป็นประเด็นที่น่าศึกษาจริงๆ

ผมจะไม่แปลกใจเลยว่า ถ้าคุณลุงคุณป้าคุณอาคุณน้าที่จับธุรกิจเครือข่าย มีความจำเป็นบีบบังคับ มีเงินชักหน้าไม่ถึงหลัง มีภาระรับผิดชอบเยอะ ต้องหาอาชีพเสริมเพิ่มกระเป๋าเงินอีกใบ แต่ความจริงคือ หลายท่านไม่ได้ทุกข์ร้อนกับงานปัจจุบัน มีเงินพอกินพออยู่อย่างสบายๆ ตำแหน่งหน้าที่อยู่ระดับกลางค่อนไปทางสูง เหตุผลที่พอประมวลมามีประมาณนี้ครับ

1. ยังทำงานเดิมต่อไปได้ ไม่ต้องลาออกจากงานเดิมเพื่อมาทำธุรกิจเครือข่ายแบบเต็มตัว สามารถใช้เวลาหลังเลิกงานหรือวันหยุดก็เพียงพอถ้าจัดสรรใช้เวลาให้คุ้มค่า ลงมือทำอย่างมีประสิทธิภาพ มีแผนมีเป้าหมาย

2. ลงทุนน้อย ความเสี่ยงต่ำ เมื่อเทียบกับการลงทุนทำธุรกิจทั่วไป ไม่ต้องมองระดับแฟรนไชส์ที่ใช้เงินแสน เพียงแค่กิจการเล็กๆ ก็ต้องเริ่มต้นหลายหมื่่น ต้องใช้ความรู้ประสบการณ์ทางธุรกิจ การตลาด การบริหาร การเงิน ฯลฯ  ทุ่มเทแรงกายแรงใจ เต็มไปด้วยความเสี่ยง อาจต้องเจอกับความเจ็บปวดความทุกข์และขาดทุน

3. งานสำเร็จ เสร็จงานได้ ขณะที่งานทั่วไปต้องทำไปเรื่อยๆจนเกษียณ หยุดทำ รายรับก็หยุดด้วย แต่ธุรกิจเครือข่าย ถ้าขยันเอาจริงบวกลูกอึดเพียงระยะเวลาหนึ่่ง แค่ไม่กี่ปี 2-3 ปีเป็นอย่างเร็ว ก็สามารถทำต่ออย่างเบาๆสบายๆ หรือหยุดก็ได้ แต่ยังมีเงินเข้าบัญชีธนาคารอย่างต่อเนื่อง

4. เพิ่มสีสันให้ชีวิต ผู้ใหญ่วัยสี่สิบหยกๆห้าสิบหย่อนๆมักต้องพบเจอกิจวัตรที่ซ้ำๆในที่ทำงานอยู่ชั่วนาตาปี ชนิดหลับตาทำยังได้ แต่ธุรกิจเครือข่ายที่เริ่มต้นจากศูนย์ มีอะไรให้เรียนรู้ปรับปรุงแก้ไขปัญหาอุปสรรคมากมาย เท่ากับกระตุ้นให้รู้สึกระชุ่มกระชวยเหมือนเพิ่งทำงานเป็นครั้งแรก แถมยังเปิดโอกาสให้พบปะผู้คนใหม่ๆอีกด้วย

5. นี่เป็นธุรกิจของตัวเอง ไม่เพียงทำมาก ตัวเองก็ได้มาก ขยันแค่ไหน ผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับตัวเอง แต่ยังเป็นความภูมิใจใช่หยอกที่ได้มีธุรกิจส่วนตัวหลังจากเป็นลูกจ้างบริษัทหรือราชการมาร่วม 20-30 ปี

แม้อายุอานามจะขยับหาช่วงปลายชีวิต วันเวลาเกือบครึ่งศตวรรษได้สร้างความเคยชินมากมาย จนอาจหวั่นใจไม่กล้าเปิดประตูไปทักทายสิ่งใหม่ๆ แต่ถ้าใครทำได้ ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในสายอาชีพเอ็มแอลเอ็มไม่ใช่น้อย เพราะประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะจะช่วยให้เรียนรู้ทักษะความรู้ต่างๆได้ง่าย ตีแตกความสลับซับซ้อนของแผนการตลาด มองเห็นช่องทางที่ทำรายได้เยอะแต่เหนื่อยน้อย มีความเก๋าที่เอาตัวรอดจากปัญหาอุปสรรค มีความหนักแน่นมั่นคงทางอารมณ์ ไม่ท้อถอยถอดใจง่ายๆ และที่สำคัญ สำหรับบางคนแล้ว ความแก่ก็มาพร้อมกับการดูดีดูน่าเชื่อถือ ยิ่งหากมีโปรไฟล์การทำงานตำแหน่งหน้าที่ดีๆ ก็นับเป็นจุดขายช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย (โอ้โห!!! คุณลุงคุณป้าระดับนี้ ยังตัดสินใจทำธุรกิจอีก มันต้องเจ๋งเป้งแน่ๆ)

ดร.สมชาย หัชลีฬหา ประธานกรรมการ บจก.จอยแอนด์คอยน์ คอร์ปอเรชั่น หนึ่งในบริษัทธุรกิจเครือข่ายชั้นนำของเมืองไทย เคยให้สัมภาษณ์ถึงนักธุระอิสระสูงวัยไว้ว่า "เราเพียงทำให้เห็นว่าเป็นองค์กรทันสมัย ส่วนคนที่จะมาทำเป็นรุ่นใหม่รุ่นเก่า เราไม่ได้คาดหวัง แต่เราค่อนข้างเชื่อว่า คนรุ่นเก่าคือกำลังสำคัญ ทำอะไรก็สำเร็จ เพราะทำอะไรทำจริง ทำนาน และไม่เลิก เพราะผ่านประสบการณ์มาแล้ว ล้มไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ เข้าเร็วออกเร็ว ตัดสินใจเร็ว แล้วเลิก อีกสามวันไม่เอาแล้ว สิ่งนี้ก็เป็นปัญหาเช่นกันสำหรับบริษัทขายตรง ที่เจอกลุ่มคนนี้ ยอดอาจขึ้นเร็ว แต่แป๊บเดียวก็ร่วง"

ฟังแบบนี้แล้ว คนรุ่น over-40 พร้อมลงสนามเอ็มแอลเอ็ม กันแล้วใช่ไหมครับ

"เอ็กซ์" ฐปน วันชูเพลา (ผู้เขียน)


เพื่อมอบกำลังใจอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้เขียน ^__^
ถ้าชอบกด Like ถ้าใช่กด Share ถ้าทั้งชอบทั้งใช่ กรุณากดทั้ง Like ทั้ง Share ได้เลยครับ อย่าได้เกรงใจ


ร่วมเรียนรู้เพื่อ "เปิดโอกาสใหม่ๆให้กับชีวิต"  http://www.elite-powerteam.com/tapana

ช่องทางติดต่อผู้เขียน …
อีเมล์  tapanaone@gmail.com
เฟซบุ๊ค  https://www.facebook.com/tapana.jcteam
แฟนเพจ  https://www.facebook.com/MLM.MoneyLovesMe
แบ่งปันมุมมอง ประสบการณ์ และโอกาสดี ๆ  http://tapanaone.blogspot.com และ http://www.bangsaensook.com/Business