หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

วันหนึ่ง วิดีโอคลิปนี้ อาจเปลี่ยนชีวิตคุณก็ได้


อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยพูดว่า "ความวิกลจริต คือ การทำสิ่งเดิมซ้ำๆ แล้วหวังผลลัพธ์ที่ต่างไปจากเดิม"

...  ถ้าคุณกำลังไม่พอใจตัวเลขเงินเดือน ลองมองหางานรูปแบบใหม่ๆดู ผมขอเวลาชั่วโมงครึ่ง คลิกชมวิดิโอนี้จนจบ ยังไม่ต้องเชื่อก็ได้ครับ ขอแค่เปิดใจรับว่า มีสิ่งนี้ที่ทำให้คนเรารวยได้อยู่ในโลกนี้ก็พอ วันหนึ่งมันอาจเปลี่ยนชีวิตคุณก็ได้ครับ

< http://www.youtube.com/watch?v=ZA3Es3XRIL0 >

** หรือเข้ามารู้จักธุรกิจเพียงลงทะเบียนที่

http://www.elite-powerteam.com/tapana
(ผมสัญญาจะเก็บข้อมูลเป็นความลับ ผมไม่ชอบ Spam เช่นกัน)

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

แค่เรียนรู้ ทำตาม เพื่อผลลัพธ์เดียวกัน


เขาทำได้ !! คุณก็ทำได้ !!
แค่เรียนรู้ ทำตาม เพื่อผลลัพธ์เดียวกัน


หลังลองผิดถูกนับสิบปี ไบรอัน เทรซี่ นักเขียนชื่อดังเจ้าของหนังสือฮิต "กินกบตัวนั้นซะ!" และ "จูบกบตัวนั้นซะ!" ต้องทึ่งกับความเรียบเงียบในกุญแจสำเร็จที่เขาพบ.."เพียงค้นหาว่าคนที่ประสบความสำเร็จเขาทำกันอย่างไร แล้วก็ทำตามนั้นจนกว่าได้รับผลลัพธ์เดียวกัน"

ถ้าคุณพร้อมจะศึกษาวิธีทำงานของเด็กหนุ่มคนนี้ คลิกลิงค์เพื่อลงทะเบียนครับ

http://www.elite-powerteam.com/tapana/
(ผมสัญญาจะเก็บข้อมูลเป็นความลับ ผมไม่ชอบ Spam เช่นกัน)

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

เรียนไป ทำงานไป ได้เงินด้วย

เหมาะสมแล้วที่โรเบิร์ต คิโยซากิ ตั้งชื่อหนังสือที่เขียนถึงธุรกิจเครือข่ายว่า "โรงเรียนสอนธุรกิจ" เพราะขนาดยังไม่ได้ทำอาชีพนี้ แค่ลองเข้าไปฟังข้อมูลเพื่อตัดสินใจ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในรั้วโรงเรียน "เตรียม อ.อ.อ." (เอ็มแอลเอ็ม) และสิ่งทีเกิดขึ้นทันทีที่เป็นนักธุรกิจเครือข่ายชนิดเต็มตัวก็คือ "เรียนไป ทำงานไป ได้เงินด้วย แถมรูปกายภายนอกดูดีอีก" ... ชีวิตจะเพอร์เฟ็คอะไรขนาดนั้น

โรเบิร์ต คิโยซากิ กูรูด้านลงทุนและการเงินชาวอเมริกัน เจ้าของหนังสือซีรี่ส์ดัง "พ่อรวยสอนลูก" ตั้งชื่อเล่มที่เขียนถึงธุรกิจเครือข่ายไว้ค่อนข้างยาวว่า Rich Dad's the Business School for People who Like Helping People (ชื่อไทย "โรงเรียนสอนธุรกิจ สำหรับคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น") แต่คำที่เขาเน้นให้มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษบนหน้าปกคือ "the Business School" หรือ "โรงเรียนสอนธุรกิจ"

ขณะอ่านยังไม่ค่อยเก็ตกับชื่อหนังสือ จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่ธุรกิจเครือข่ายหรือเอ็มแอลเอ็มอย่างเต็มตัว ถึงซาบซึ้งกับคำว่า "the Business School" เพราะทำงานสายอาชีพนี้เหมือนกับเข้าโรงเรียนจริงๆ แต่ที่ดีกว่ามากๆคือ "เรียนไป ได้เงินไป" ไม่ต้องรอให้จบรับปริญญาแล้วค่อยออกไปหางานหาเงินเหมือนสมัยมหาวิทยาลัย

ในฐานะที่เดินผ่านรั้วโรงเรียน อ.อ.อ. มาก่อน ขอแนะนำในนักเรียนใหม่ลืมความรู้เดิม วางอีโก้จากความสำเร็จในสายงานเดิม ทำตัวเป็นแก้วเปล่า รอรับน้ำที่กำลังจะถูกเติม มีตัวอย่างผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจส่วนตัวท่านหนึ่ง กิจการไปได้ดี ค้าขายมีกำไร แล้วหันมาจับงานขาย พอตั้งหลักได้ปุ๊บ ท่านก็ลุยสร้างเครือข่ายด้วยวิธีของตัวเองทันที ไม่สนที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากคอร์สอบรมของบริษัท ผลคือแป๊กครับ ถึงสปอนเซอร์คนเข้าเครือข่ายได้ แต่เหนื่อยสายตัวแทบขาด และจำนวนไม่ได้มากตามเป้า เป็นอยู่อย่างนี้หลายเดือน ถึงตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้แนวทางของบริษัทดู ผลคือเวิร์คสุดๆ เหนื่อยน้อย คนที่ตอบรับทำธุรกิจไม่เพียงมาก แต่เป็นคนที่มีประสิทธิภาพด้วย (ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ต้องเดินตามเป๊ะๆ เป็นสูตรคณิตศาสตร์นะครับ แค่ยึดเป็นแนวทาง และปรับเปลี่ยนประยุกต์ใช้ตามสถานการณ์)

ส่วนใหญ่ บริษัทที่ทำธุรกิจเครือข่ายจะเชิญผู้สนใจเข้ามาฟังบรรยายเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจสมัครทำธุรกิจอยู่แล้ว เรียกว่า OPP (ย่อมาจาก Opportunity หรือ "โอกาส") หรือ Super OPP กรณีที่เป็นงานใหญ่ มีวิทยากรดังๆมาพูด เนื้อหาหลักๆจะเป็นการป้อนทัศนคติใหม่ๆที่มีต่องาน เงิน เวลา และชีวิต ซึ่งจะได้จากการเข้ามาทำธุรกิจเครือข่ายเมื่อเทียบกับงานประจำที่ทำอยู่ในฐานะมนุษย์เงินเดือน รวมถึงแนะนำบริษัท ผลิตภัณฑ์ตัวสินค้าที่จะนำไปขาย ผลตอบแทนที่ได้รับจากแผนการตลาด โบนัสรูปแบบต่างๆ ฯลฯ

ถ้าเริ่มสนใจธุรกิจเครือข่าย จะมีบรรยายสอนวิธีทำงานกันเลยทีเดียวเสมือนเป็นนักธุรกิจอิสระกันแล้ว เช่น ทำบัญชีรายชื่อผู้มุ่งหวัง (เป้าหมายที่จะติดต่อชักชวน), ไดอะล็อคในการโทรศัพท์นัดหมาย, วิธีนำเสนอแผนงาน, ติดตามผล ฯลฯ ซึ่งมาถึงจุดนี้ เป้าหมายก็มีข้อมูลมากพอแล้วที่จะตัดสินใจเดินหน้าหรือถอยหลังกลับไปทำงานเก่า

หลังจากสมัครเป็นนักธุรกิจอิสระแล้ว ใครที่มุ่งมั่นจริงๆมักกลับมาศึกษาเรื่องที่เคยฟังไปแล้วแบบเจาะลึกลงในรายละเอียด รวมทั้งขวนขวายพัฒนาทักษะอื่นๆเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพอย่างเช่น ทัศนคติสู่ความสำเร็จ การเป็นผู้นำ การสื่อสาร การพบปะผู้คน การเอาชนะความกลัว ความสงสัย ความไม่มั่นใจในตัวเอง การเอาชนะความกลัวจากคำปฏิเสธ การสร้างความน่าเชื่อถือ การบริหารเงิน การลงทุน การบริหารเวลา การจัดระบบ เป็นต้น รวมทั้งการปรับปรุงบุคลิกภาพ รูปร่างหน้าตา การแต่งตัว กิริยามารยาท ฯลฯ จะเห็นว่ามีเรื่องที่ให้เรียนรู้พัฒนาไม่มีที่สิ้นสุด เรียนไป ลองลงมือทำจริง รับเงินด้วย แถมทำให้ตัวเองดูดีขึ้นอีก

นั่นเป็นทักษะความรู้ที่จำเป็นต่อนักธุรกิจอิสระแบบออฟไลน์ คือพวกที่ออกไปพบปะพูดคุยกับผู้คน แต่ยังมีนักธุรกิจอิสระอีกกลุ่มหนึ่งที่เลือกใช้วิธีออนไลน์ ใช้เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ไอทีเป็นเครื่องมือสื่อสารถึงเป้าหมายหรือผู้มุ่งหวังแบบไม่ต้องเจอตัว คนกลุ่มนี้จะต้องศึกษาเรื่องอุปกรณ์ไอทีอย่าง โน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน แล้วใช้กลยุทธ์ทางออนไลน์ มาร์เก็ตติ้ง อาทิ เอสอีเอ็ม แลนดิ้งเพจ อีเมล์ วิดีโอคลิป โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค บล็อค คลาสสิฟายด์เว็บบอร์ด เป็นต้น

บางบริษัทบางกลุ่มก็จะสอนเรื่อง mindset ล้วงลึกถึงแก่นแท้จิตวิญญาณ เปลี่ยนวิธีคิดการมองโลกและทัศนคติกันเลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้ควรเรียนรู้ตั้งแต่ต้นจะดีกว่า และมีความสำคัญไม่ว่าจะทำงานแบบออฟไลน์หรือออนไลน์

โรเบิร์ต คิโยซากิ เขียนไว้ในหนังสือเล่มดังกล่าวถึงโอกาส 8 ข้อที่จะได้รับเมื่อเข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย ซึ่งข้อแรกคือ "โอกาสในการเรียนรู้ธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ" และเหตุผลข้อที่หนึ่ง ที่เขาอยากชักชวนให้ผู้คนเข้าสู่สายอาชีพนี้ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีจากเอ็มแอลเอ็ม ไม่ใช่เพราะ "แผนการตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูง" แต่เป็น "กระบวนการในการอบรมของบริษัท" ต่างหาก

ถ้าคุณกำลังเลือกบริษัทที่จะฝากผีฝากไข้ฝากอนาคตในวงการเอ็มแอลเอ็ม อย่ามุ่งความสนใจไปที่ผลตอบแทนเกินความจำเป็น แต่ให้มองหาบริษัทที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากร ซึ่งจะช่วยให้บริษัทเติบโตแบบยั่งยืนกว่าการใช้เงินเป็นตัวล่อดึงเข้ามาเยอะๆ

และถ้า "อัพไลน์" หรือคนที่ดึงคุณเข้าไปอยู่ใต้เครือข่าย จะเป็นพวกให้ความสำคัญกับการศึกษา พัฒนาความรู้ความสามารถ พร้อมเป็น "โค้ช" หรือ "เทรนเนอร์" ให้กับคุณ ยิ่งเยี่ยมยอดขึ้นไปอีก คือคุณจะได้รับแรงหนุนทั้งจากบริษัทและทีมงาน

จากนั้นก็เป็น "คุณ" แล้วล่ะครับที่จะเรียนไป ทำงานไป ได้เงินด้วย แถมรูปกายภายนอกดูดีอีก ... ชีวิตจะเพอร์เฟ็คอะไรขนาดนั้น ^-^

ขอเชิญทำความรู้จักธุรกิจเครือข่ายได้ที่  http://www.elite-powerteam.com/tapana
พบปะแลกเปลี่ยนมุมมองได้ที่  https://www.facebook.com/tapana.jcteam

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

My name is MLM wanting to be your friend.


คิดจะทำงานหนักทั้งที ดีไหมถ้า..
ทุ่มแรงกายแรงใจกับธุรกิจตัวเอง
..โชคดีที่วันนี้
มีช่องทางสร้างธุรกิจง่ายๆ
ลงทุนน้อยกว่าซื้อแฟรนไชส์
เสี่ยงน้อยกว่าทำกิจการทั่วไป
ไม่ต้องรอเกษียณตอนอายุ60
เซฟสุดๆทำพร้อมงานประจำได้
ช่องทางนี้ชื่อ "ธุรกิจเครือข่าย"
ล้างสมองสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟัง
เริ่มมาทำความรู้จักกับเค้าใหม่
คบกันจริงๆ เค้าอาจดีกว่าที่คิด
เหมือนกับที่ผมเป็นมาแล้ว
อ้อ..เรียกเค้าว่า MLM ก็ได้
^-^

คนรวยคิดแปลกๆ "ทำธุรกิจสำเร็จแล้ว..แต่ยังไม่เสร็จ" ?!?!

ผิดครับถ้าคิดว่า นักธุรกิจเครือข่ายส่วนใหญ่ย้ายมาจากอาชีพพนักงานขาย และเอ็มแอลเอ็มเป็นงานในฝันของมนุษย์เงินเดือนที่รายรับไม่พอรายจ่าย เพราะคนที่เข้ามาทำธุรกิจนี้มีความหลากหลายมากทั้งสายอาชีพและวัย และเชื่อหรือไม่ คนรวยจากการประกอบธุรกิจก็ร่วมเดินบนถนนเส้นนี้ด้วย พวกเขามองว่า กิจการที่ทำอยู่สำเร็จแต่ไม่เสร็จ ขณะที่เอ็มแอลเอ็มนั้น "สำเร็จและเสร็จ" (แต่ความรวยไม่เสร็จ)

5.4 ล้านคน เป็นตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการของนักธุรกิจเครือข่ายหรือเอ็มแอลเอ็มในเมืองไทย หรือประมาณ 8.1 เปอร์เซนต์ของประชากรทั้งประเทศ (67 ล้านคน) และแนวโน้มยังเพิ่มขึ้นทุกปี เช่นเดียวกับอัตราเติบโตของยอดขายรวมที่เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5-7 เปอร์เซนต์ โดยเมื่อปี 2555 พวกเขาช่วยกันขายและขยายเครือข่ายได้รวม 8.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีผู้ประเมินว่า ตัวเลขจะแตะหลักแสนล้านบาทแน่นอนเมื่อสิบประเทศกลุ่มเออีซีเปิดประตูเสรีในปี 2558

ผมเคยนึกเล่นๆ (สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่า หาประโยชน์อันใดมิทราบ) ว่า ส่วนใหญ่เป็นคนอาชีพไหนที่เปลี่ยนงานเก่ามาทำธุรกิจเครือข่าย?

อาชีพแรกที่ผุดขึ้นมาคือ เซลส์แมนหรือพนักงานขาย เพราะมีทักษะความสามารถและรักงานขายอยู่แล้ว ถ้าเห็นผลตอบแทนจากแผนการตลาดของบริษัทต่างๆ ก็น่าเปลี่ยนมาจับงานขายตรงแบบหลายชั้น ที่ดูได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ทั้งจากการหาของตนเอง และจากเปอร์เซนต์ของคนที่อยู่ในสายงานตามลำดับชั้นตาม "หลักคานผ่อนแรง" ของพอล เก็ตตี้ มหาเศรษฐีพันล้านคนแรกของโลก ซึ่งบอกว่า "ผมยินดีรับผลตอบแทนหนึ่งเปอร์เซนต์จากการทำงานของคนร้อยคน มากกว่าได้รับผลตอบแทนร้อยเปอร์เซนต์จากการทำงานของผมเพียงคนเดียว"

ผิดคาดครับหลังจากคุยกับเพื่อนฝูงรุ่นพี่รุ่นน้องที่อยู่ในสายงานขาย แทบทุกคนเซย์โนกับเอ็มแอลเอ็ม เช่น "โอ๊ย! มีคนชวนมาเยอะ แต่ไม่เอาหรอก ขายอย่างทุกวันนี้ก็เงินดีอยู่แล้ว" หรือ "บริษัทพวกนี้จ่ายเงินดีแค่ปีแรกๆแล้วก็ปิดกิจการ" ยกเว้นกลุ่มขายประกัน ที่ใช้ระบบขายตรงแบบเครือข่ายเหมือนกัน จะแบ่งรับแบ่งสู้ ขอพิจารณาเงื่อนไขผลประโยชน์เพื่อเปรียบเทียบกับงานที่ทำอยู่ ส่วนนักขายรุ่นเก่าๆ มักปฏิเสธเพราะมีรายได้ดีอยู่แล้วจากฐานที่สั่งสมมาหลายปี

เหตุผลหลักที่นักขายทั่วไปปฏิเสธน่ามาจากภาพพจน์ที่ไม่ดีออกสีเทาๆไปทางโทนดำของเอ็มแอลเอ็ม กลัวถูกหลอกเลยไม่เอาดีกว่า อีกอย่างงานขายที่ทำอยู่เป็นลักษณะวันแมนโชว์ ไม่ต้องปวดหัวกับทีมงาน ซึ่งแม้มีทีมงาน แต่ก็เป็นกลุ่มเล็กๆหรือถ้าใหญ่จะออกแนวผู้บังคับบัญชาสั่งได้ ต่างกับทีมงานในเอ็มแอลเอ็ม ซึ่งจะประสบความสำเร็จมากขึ้นตามเครือข่ายทีมงานที่ใหญ่ขึ้น ที่สำคัญทุกคนที่อยู่ใต้เรา ต่างมีอิสระ ไม่สามารถสั่งซ้ายหันขวาหัน ผู้นำในวงการนี้จึงต้องมีจิตวิทยาสูง ใช้ทั้งไม้แข็งไม้นวม แถมรับหน้าที่เทรนเนอร์สอนความรู้ทักษะ รวมถึงทัศนคติที่ดีกับงานอีก ซึ่งถือเป็นความรับผิดชอบที่หนัก

แล้วส่วนใหญ่เป็นใครกันที่ก้าวเข้ามาเป็นนักธุรกิจอิสระบนถนนเอ็มแอลเอ็ม คำตอบคือสรุปแบบฟันธงไม่ได้ เพราะหลากหลายสาขาอาชีพมาก ไม่ใช่เพียงพนักงานออฟฟิศพวก white-collar ขนาดแม่ค้าหรือสาวโรงงานยังทำ แถมทำจนมีรายได้เดือนหนึ่งตกหลักหมื่นหลักแสน อายุของคนที่หันมาจับงานนี้ก็หลากหลายด้วย หลายคนยังเรียนในมหาวิทยาลัย หลายคนอยู่ในวัยใกล้เกษียณ บางคนสูงวัยระดับอยู่บ้านเลี้ยงหลานยังมาทำ ทั้งนี้เพราะนักธุรกิจเอ็มแอลเอ็มไม่ต้องทำงานตลอดชีวิต ถ้าทุ่มเทสุดๆสัก 4-6 ปี จนมีรายได้เข้ามาต่อเนื่องถึงตัวเลขที่พอใจ ก็สามารถหยุด หรือทำต่อไปแบบเบาๆได้

อีกประเด็นหนึ่ง ผมมองว่า นักธุรกิจเครือข่ายน่าจะเคยเป็นพวกที่รายรับไม่พอรายจ่าย ไม่ได้หมายความว่าจนนะครับ ฐานะปานกลางหรือมีเงินเดือนหลักหมื่นก็ได้ แต่มีเงินไม่พอซื้อของที่อยากได้ หรือไม่ก็รูดบัตรเครดิตจนต้องเร่งหารายได้เพิ่มเพื่อใช้หนี้

บางคนจริง บางคนไม่ใช่ แต่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์คือ คนรวยเป็นถึงเจ้าของธุรกิจก็อยู่ในขบวนนักธุรกิจเครือข่ายด้วย ซึ่งเจ้าของธุรกิจที่ว่านี่ กิจการก็ไปได้ดีค้าขายมีกำไร ไม่ใช่ขาดทุนจนต้องหาเงินทางอื่นมาโป๊ะ และกิจการมีทั้งขนาดกลางถึงใหญ่ทีเดียว (แว่วว่าเจ้าของห้างสรรพสินค้าใหญ่ท่านหนึ่งด้วย)

ถามว่ารวยอยู่แล้ว ทำไมต้องมาขายตรงแบบเครือข่ายที่ผู้คนรู้สึกยี้กัน? คำตอบที่ได้รับคือ

"ธุรกิจสำเร็จ
 แต่ไม่เสร็จ"

"ธุรกิจที่ทำอยู่ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ฐานะรายได้การเงินก็มั่นคง อนาคตสดใสสามารถเติบโตไปได้เรื่อยๆ แต่งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ มันหยุดไม่ได้ จริงอยู่ที่บริษัทมีผู้จัดการผู้บริหารมาดูแลแบ่งเบาภาระ ลูกหลานสามารถเข้ามารับไม้ต่อได้ แต่มองว่า เป็นงานที่ไม่มีวันเสร็จ ซึ่งในแง่ธุรกิจก็เป็นเรื่องดี ที่มันสามารถเลี้ยงตัวและเติบโตได้เรื่อยๆ ส่วนตัวไม่มีปัญหากับงานหนัก แต่ดีกว่าไหมถ้ามีงานสักอย่างหนึ่ง สามารถประสบความสำเร็จได้ แล้วถ้าหยุดทำ ยังมีเงินเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งคำตอบคือ ธุรกิจเครือข่ายหรือเอ็มแอลเอ็ม ที่ทุ่มเทให้กับมันเพียงไม่กี่ปี จนสามารถสร้างเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ แต่ละคนที่อยู่ในองค์กรล้วนเอาจริงเอาจังกับงานที่ทำ พวกเขามีรายได้น่าพอใจ ซึ่งแน่นอน ทำให้รายได้ของผมเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จนทุกวันนี้ธุรกิจเดิมไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว รายได้จะเพิ่มจะทรงตัวหรือทรุดลงเล็กน้อย ถ้าเป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจ ไม่ใช่เรื่องการบริหาร ถือว่าโอเค เพราะยังมีรายได้เข้ามาอีกทางอย่างต่อเนื่องจากเอ็มแอลเอ็ม"

ฟังแบบนี้ ต้องบอกว่า "ธุรกิจสำเร็จ และรวยไม่เสร็จ" ต่างหาก ^^

<> ขอเชิญทำความรู้จักธุรกิจเครือข่ายได้ที่ http://www.elite-powerteam.com/tapana

<> พบปะแลกเปลี่ยนมุมมองได้ที่ https://www.facebook.com/tapana.jcteam

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

โอกาส(รวย)มากมายกองตรงหน้า ต้องเลือกแล้ว

กูรูด้านอีเบย์สอนลูกศิษย์ว่า "เศรษฐีเห็นโอกาส และโอกาสมีอยู่ทุกหนแห่ง" เป็นเช่นนั้นจริงๆ เป็นเช่นนั้นทุกธุรกิจ และเป็นเช่นนั้นมาตลอด บางทีความยากอาจอยู่ที่ "เราจะเลือกอะไรในความเยอะนั้น" ถึงเวลาที่ต้องเลือกแล้วครับ..เหมือนผมที่ตัดสินใจแล้ว


"อาจารย์โจ" ไพรัช ศรีนครินทร์ ยอดนักขายระดับพาวเวอร์เซลเลอร์และวิทยากรด้านอีเบย์ เว็บซื้อขายบนเน็ตอันดับหนึ่งของโลก กล่าวว่า "หนึ่ง..เศรษฐีเห็นโอกาส" และ "สอง..โอกาสมีอยู่ทุกหนแห่ง" แม้ประโยคทั้งสองถูกเอ่ยระหว่างการบรรยายเรื่องการทำธุรกิจบนอีเบย์ แต่มันก็เป็นจริงกับธุรกิจประเภทอื่นๆเช่นกัน ซึ่งผมเองเห็นด้วยกับที่อ.โจพูดครับ จากที่อ่านฟังประวัติของบรรดาคนรวยๆที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาล้วนมีสายตามีมุมมองต่างกับชาวบ้านทั่วไปจริงๆ ไม่ว่ายุคสมัยไหน ถือว่าคุณสมบัติร่วมข้อหนึ่งของเศรษฐี

ขณะนึกเรื่องโอกาส มีความคิดหนึ่งแว้บเข้ามาในหัว "โอกาสสมัยนี้ มันมาให้เห็นง่ายกว่าสมัยก่อน" ... เทียบกับยุค 30 ปีก่อนแล้วกัน ถ้าอยากรวย ข้อมูลดิบที่อยู่ในการรับรู้ของเด็กรุ่นนั้น มีไม่กี่อย่าง ต้องเอนทรานซ์คณะแพทย์ วิศวะ สถาปัตย์ จบออกมามีงานทำรวยแน่ ถ้ารับปริญญาตรีสายอื่น ต้องมองหาบริษัทใหญ่ๆโตๆ เงินเดือนจะได้สูงๆ ถ้าเอาแบบชัวร์ๆมีเงินใช้ยาวถึงหลังเกษียณต้องรับราชการ ไม่ก็เรียนสูงๆจบด็อกเตอร์ไปเลย ส่วนเรื่องทำมาค้าขาย คิดได้แค่ขายคนแถวบ้าน เผื่อขายดิบขายดี ก็ขยายร้านเป็น 2-3 ห้องแถว

ไม่อยากเชื่อเลยว่า แค่ไม่กี่สิบปี โอกาสร่ำรวยจะโผล่มาให้เห็นง่ายและมากมายอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เหมือนกับที่ผมไม่เคยคิดว่า ในชีวิตนี้จะได้ดูฟุตบอลอังกฤษสดๆครบทุกแมตช์ทางทีวี เพราะสมัยเด็กๆ มีเกมลูกหนังเมืองผู้ดีให้ลุ้นสดๆปีละครั้งคือ นัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ โลกสมัยนี้เปลี่ยนแปลงเร็วจริงๆ เร็วด้วยสปีดที่สูงมาก เด็กสมัยนี้ที่อาจนึกภาพการเปลี่ยนแปลงที่ผมรู้สึกไม่อออก ลองคิดถึง gadget อย่างโทรศัพท์มือถือหรือพีซี-โน้ตบุ๊ค ก็แล้วกัน ว่ามันมาเร็วไปเร็วขนาดไหน

ถ้าอยากทราบว่า โอกาสรวยปรากฏตัวให้เห็นง่ายขนาดไหน ให้เข้าไปในร้านขายหนังสือแฟรนไชส์สาขาใหญ่ๆหน่อย เดินตรงไปที่หมวดธุรกิจกับคอมพิวเตอร์ จะพบหนังสือฮาวทูรวยอย่างไรเต็มชั้นไปหมด มีพ็อกเก็ตบุ๊คอย่างรวยเป็นล้านด้วยการเป็นเจ้าของร้านขายกาแฟ เบเกอรี่ ข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยว สะดวกซื้อ ซักรีด ฯลฯ รวยง่ายๆแบบออนไลน์จากร้านค้าบนเน็ต ขายของผ่านอีเบย์ ออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง ให้บริการโน้นนั่นนี่บนโซเชี่ยลมีเดีย สร้างบล็อค รายได้จากกูเกิ้ล อะเมซอน ฯลฯ เป็นเศรษฐีด้วยการลงทุนในหุ้น ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวม ตลาดเงิน ฯลฯ หรือโฆษณาในเฟซบุ๊ค เว็บบอร์ด บล็อก แบนเนอร์ ก็เต็มไปด้วยงานที่ทำแล้วรวยแน่ เงินไหลเข้าราวกับเครื่องพิมพ์ธนบัตร นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์วันละไม่กี่ชั่วโมง ไม่ต้องออกไปหาลูกค้า ฯลฯ

"โอกาสรวย" มันเยอะจริงๆครับด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย โลกที่แคบลง ประเทศต่างๆเชื่อมถึงกันหมด สภาพแวดล้อมสังคมเศรษฐกิจก็เอื้ออำนวยต่างๆนานา และที่สำคัญ คนไม่เพียงมองเห็น แต่ยังนำแบ่งปัน บอกต่ออย่างกว้างขวาง แนะนำวิธีสอนขั้นตอนเสร็จสรรพละเอียดยิบ ชนิดทำตามเรียงบทที่ 1-2-3-4-5... จบเล่ม รวยเลย!!!

คำถามที่ต้องขบคิดต่อมาคือ "โอกาสรวย เยอะขนาดนี้ มีต้นแบบให้ก๊อปปี้ชัดเจนขนาดนี้ เราจะเลือกโอกาสไหนดี" หรือโอกาสมายมายจนลายตา มองเห็นจนเวียนหัว คิดไม่ตก เลือกไม่ได้ กลับไปทำงานประจำ รับเงินเดือนต่อก็แล้วกัน อ้าววว..

ผมเคยผ่านประสบการณ์งงงวยเพราะลายตาในร้านหนังสือมาแล้ว ควักกระเป๋ารวมแล้วหลายพันบาทเฉพาะหมวดธุรกิจ-การตลาด-พัฒนาตัวเอง-คอมพิวเตอร์ไอที อ่านเล่มนี้ ธุรกิจนี้ก็ดูดี อ่านเล่มโน้น งานนี้พารวยแน่ แต่ยังเก้ๆกังๆไม่ยอมตัดสินใจโยนพวงมาลัยเลือกและทำอะไรจริงจังเสียที จนต้องกลับมาตั้งหลัก เอา "ตัวเอง" เป็นตัวตั้ง แล้วค่อยหาธุรกิจอะไรที่น่าสนใจ รู้สึกรักรู้สึกชอบที่จะทำ ต่างกับแต่ก่อนที่ใช้ "ธุรกิจ" เป็นตัวตั้ง แล้วมองความเป็นไปได้

ครั้งนี้ใช้เวลาไม่นานก็ตัดสินใจได้ และเซอร์ไพรส์ กลับเป็น "ตัวเลือก" ที่มองข้ามมาตลอด แต่มาแรงแซงโค้งเข้าวินหน้าตาเฉย เป็นงานหรือธุรกิจที่ผมไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะทำ แต่ที่หยิบมาศึกษาหาหนังสือมาอ่านเพราะเพื่อนฝูงพยายามโน้มน้าวยกข้อดีต่างๆนานาให้จับธุรกิจตัวนี้ ชวนให้ไปนั่งฟังบรรยายแผนการตลาด รวมถึงพาไปซึมซับบรรยากาศงานฉลองผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพนี้ แต่เพราะทัศนคติส่วนตัว ทั้งที่มีต่อธุรกิจและอาชีพ จึงปิดประตูทุกครั้งที่โอกาสตัวนี้มาเคาะเรียก

ผมเลือก "ธุรกิจเครือข่าย" หรือ "เอ็มแอลเอ็ม" หรือที่คนไทยเรียกแบบเหมารวมว่าขายตรงนั่นแหละครับ

ผมเคยประมวลความคิดที่มาที่ไปของลักษณะการหารายได้รูปแบบต่างๆ ก่อนลงเอยที่ธุรกิจเครือข่ายไว้ในบล็อก http://tapanaone.blogspot.com เขียนเป็นมินิซีรี่ส์ 8 แปดตอนจบ ชื่อ MLM Series One ซึ่งคุณๆสามารถอ่านได้จากลิงค์ขวามือของบล็อก แต่ผมขอสรุปเหตุผลสั้นๆ ในการตัดสินใจจับธุรกิจเอ็มแอลเอ็มขณะที่อายุอานามจะแตกหลัก 50 ในปีหน้า ไว้ 3 ข้อดังนี้ครับ

1.
อยากทำงานที่มีรายได้แบบ passive
พักได้ หยุดได้ แต่ยังรับเงิน
ไม่ต้องรอเกษียณอายุหกสิบ
เลิกทำงาน แต่ยังมีรายได้


2.
อยากมีธุรกิจของตัวเอง
เป็นธุรกิจสำเร็จรูป พร้อมฮาว-ทู
ที่ลงทุนเบาๆ เสี่ยงน้อยๆ
ทำงานหนัก แต่ไม่ต้องทำจนแก่


3.
อายุอานามก็ใกล้ครึ่งศตวรรษ
วัยขนาดนี้ บ้าพลังไม่ไหวแล้ว
ขอเน้นสมองกับลูกเก๋าทำงาน
มีบริษัท, ระบบ, ทีมงานที่ดีช่วยหนุน


ภายหลัง มีโอกาสรับรู้ประโยคที่ประธานกรรมการบริษัทให้สัมภาษณ์ไว้ ก็ได้ใจของคนช่วงปลายวัยทำงานอย่างผมไปเต็มๆเลยครับ ท่านให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไว้ดังนี้

"เราเพียงทำให้เห็นว่าเป็นองค์กรทันสมัย ส่วนคนที่จะมาทำเป็นรุ่นใหม่รุ่นเก่า เราไม่ได้คาดหวัง แต่เราค่อนข้างเชื่อว่า คนรุ่นเก่าคือกำลังสำคัญ ทำอะไรก็สำเร็จ เพราะทำอะไรทำจริง ทำนาน และไม่เลิก เพราะผ่านประสบการณ์มาแล้ว ล้มไม่ได้แล้ว แต่ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ เข้าเร็วออกเร็ว ตัดสินใจเร็ว แล้วเลิก อีกสามวันไม่เอาแล้ว สิ่งนี้ก็เป็นปัญหาเช่นกันสำหรับบริษัทขายตรง ที่เจอกลุ่มคนนี้ ยอดอาจขึ้นเร็ว แต่แป๊บเดียวก็ร่วง"

หวังว่า ธุรกิจเครือข่ายจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกของคุณนะครับ เรียนเชิญศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.elite-powerteam.com/tapana/ แล้วกรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อรับ username และ password เพื่อเข้าระบบ ... ขอรับรองครับ ผมจะไม่นำข้อมูลที่กรอกไปให้คนอื่นส่งอีเมล์สแปมรบกวนเด็ดขาด เพราะผมก็เกลียดอะไรแบบนี้เช่นกัน (แม้แต่แท็กชื่อใครในเฟซบุ๊คเพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ ยังไม่ทำเลยครับ)

และถ้าอยากรู้จักเป็นการส่วนตัว ก็พบปะกันได้ที่เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/tapana.jcteam นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

ทำไมผมทำธุรกิจเครือข่าย?


ผมเขียนลำดับข้อมูล มุมมอง ความคิด
ก่อนตัดสินทำธุรกิจเครือข่าย

เป็นมินิซีรี่ส์ MLM แปดตอนจบ

(1) อุ่นใจเพิ่มรายได้หลายกระเป๋าเงิน
(2) เงินเพิ่มด้วยงานที่รักและชำนาญ
(3) Active Income ออกแรงถึงได้เงิน
(4) Passive Income อยู่เฉยๆ เงินวิ่งหา
(5) ธุรกิจทุนต่ำ เสี่ยงน้อย ได้ผลเร็ว
(6) AEC หนุน MLM ไทยทะลุแสนล้าน
(7) นักขาย MLM ทำงานหนัก รวยชัวร์
(8) เปลี่ยนแปลงชีวิตด้วย MLM

ลองอ่านนะครับจากลิงค์ขวามือ

ท่านเห็นด้วย ? หรือคิดต่าง ?

<> facebook.com/tapana.jcteam
<> elite-powerteam.com/tapana


MLM Series One : (8) เปลี่ยนแปลงชีวิตด้วย MLM

Money Loves Me Series One
ตอนที่ 8 : เปลี่ยนแปลงชีวิตด้วย MLM

มาถึงตอนสุดท้ายของซีรี่ส์ MLM : Money Loves Me แล้วครับ ... สำหรับผมแล้ว การเขียนซีรี่ส์นี้เหมือนเป็นการทบทวน ไตร่ตรอง และวิเคราะห์ องค์ความรู้ ความเข้าใจ และมุมมองต่างๆที่อยู่ในสมอง ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักเพื่อโน้มน้าวให้คนอ่านเชื่อตาม แถมหวังจะได้รับประโยชน์ด้วยซ้ำหากมีโอกาสรับทราบความเห็นทั้งแง่บวกลบจากผู้อ่าน เป็นเสมือนได้รับการตรวจสอบความคิดจากอีกหลายๆสมอง

เกือบทั้งหมดของชีวิตทำงานที่ผ่านมา ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มรูปแบบ วิกฤติจากบัตรเครดิตก็เคยเผชิญมาแล้ว บ่นบริษัทที่ใช้งานหนักไม่ยอมขึ้นเงินเดือน (แต่ยังนั่งทำงานรับเงินจากเขาต่อไป) พยายามหาจ็อบเพื่อกระเป๋ารายได้เสริม(ใบจิ๋ว) ทำธุรกิจเล็กๆ ขายของผ่านเน็ต สรุปคือ ผ่านประสบการณ์ฝั่งซ้ายของเงินสี่ด้านมาแล้วทั้ง E และ S

ช่วงหลัง ผมขยับตัวเองมาฝั่งขวา เริ่มต้นตั้งไข่ในฐานะคนจำพวก I เริ่มจากลงทุนเล็กๆน้อยๆในทองคำ พันธบัตร กองทุนรวม และหุ้น ล่าสุดเอาเวลาอีกส่วนหนึ่งมาเป็น B หันจับมาธุรกิจการตลาดเครือข่ายหรือเอ็มแอลเอ็ม หลังจากโดนชักชวนให้เข้านั่งฟังบรรยาย OPP และ Super OPP มานาน แต่ใจไม่เปิดรับจนกระทั่งได้อ่านหนังสือ "เงินสี่ด้าน" (ได้อ่านแบบบังเอิญเสียด้วย เห็นน้องคนหนึ่งมีหนังสือ เลยยืมมาอ่านไปงั้นๆ) ส่วน I เป็นมาก่อนอ่านหนังสือเล่มนี้

เหตุผลที่ตัดสินใจเป็นนักธุรกิจอิสระบนถนนเอ็มแอลเอ็ม เบื้องต้นคงเหมือนคนส่วนใหญ่ที่ถ้าจะทำงานหนักทั้งที ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นธุรกิจของตัวเอง ยิ่งลงทุนน้อย เสี่ยงน้อย และใช้เวลาน้อยในการประสบความสำเร็จยิ่งดีใหญ่ พร้อมพกความมั่นใจว่าถ้าทำงานหนักเหมือนสมัยเป็นมนุษย์เงินเดือน ความมั่นคงและอิสรภาพทางการเงินเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน

อีกเหตุผลค่อนข้างส่วนตัว เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดที่เคยสร้างไว้เอง ... หลังเรียนจบปริญญาตรี ผมเคยคิดว่ามีสองอาชีพที่ไม่ทำแน่ๆคือ ครู กับ เซลส์ เพราะไม่ถนัดสื่อสารด้วยคำพูด ไม่ชอบอธิบายอะไรยาวๆ ไม่ชอบพูดต่อหน้าคน ไม่ชอบโน้มน้าวชักจูง ฯลฯ และยังคงนึกคิดแบบนี้นานร่วมสามสิบปี จนมีโอกาสอ่านหนังสือ "โรงเรียนสอนธุรกิจ" หนึ่งในซีรี่ส์พ่อรวยสอนลูกของ โรเบิร์ต คิโยซากิ ซึ่งเขียนถึง "โอกาส 8 ข้อ" ที่จะได้รับถ้าทำงานธุรกิจเครือข่าย ข้อแรกและข้อสุดท้ายนี่แหละสะกิดใจผม ... หนึ่ง โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต (เปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ร่างกาย และจิตวิญญาณ) และสอง โอกาสในการพัฒนาทักษะผู้นำ



คุณสามารถพัฒนาตัวเองด้วยการเข้ามาทำเอ็มแอลเอ็ม ผ่านคอร์สอบรมพัฒนาของบริษัท ผ่านการศึกษาใฝ่รู้ของตัวเอง ผ่านหน้าที่การงานปกติของนักขาย และผ่านประสบการณ์จริง ... อะไรคือคุณสมบัติจำเป็นถ้าจะประสบความเร็จในธุรกิจนี้ ตัวอย่างเช่น ทัศนคติสู่ความสำเร็จ ทักษะการเป็นผู้นำ ทักษะในการสื่อสาร ทักษะในการพบปะผู้คน การเอาชนะความกลัว ความสงสัย ความไม่มั่นใจในตัวเอง การเอาชนะความกลัวจากคำปฏิเสธ ทักษะการสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะการบริหารเงิน การลงทุน การบริหารเวลา การจัดระบบ เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นกับคุณทุกขณะที่ลงมือทำงานเอ็มแอลเอ็ม (แบบทุ่มเทตั้งใจ..ขอเน้น)

หลายบริษัทขายผลิตภัณฑ์จำพวกอาหารเสริม ซึ่งปกตินักธุรกิจอิสระจำเป็นต้องซื้อกินซื้อใช้เองอยู่แล้ว ทั้งเพื่อรักษายอดสถานภาพ และเพื่อจะได้นำผลลัพธ์ที่ดีไปบอกต่อลูกค้า ตรงนี้เองจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นอีกทาง (ว่ากันว่าแบบทีเล่นที่จริง อย่าซื้อสินค้าพวกนี้จากนักขายที่หน้าตาหมองคล้ำหรือรูปร่างเหมือนคนป่วย เพราะคงทำอาชีพนี้แบบไม่เอาจริงเอาจัง หรือไม่ก็สินค้าคุณภาพไม่ได้เรื่อง)

เพียงแค่ก้าวแรกๆของอาชีพนักธุรกิจเอ็มแอลเอ็ม เชื่อว่าจะสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแน่นอน มันดีขนาดไหนที่ได้ทำงานที่ทั้งได้เงินดี สามารถพาไปถึงจุดมั่นคงมีอิสรภาพทางการเงิน แถมสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเราเองได้มากขนาดนี้ทั้งอารมณ์ ร่างกาย และจิตวิญญาณ (ความรู้สึกนึกคิดทัศนคติที่ฝั่งลึกภายในจิตใจ)

สำหรับทุกท่านที่อยากย้ายมาอยู่ซีกขวาของเงินสี่ด้าน ในภาคของ I หรือ/และ B ขอชวนมาแลกเปลี่ยนแบ่งปันแนวคิดมุมมอง เพื่อเดินร่วมกันเส้นทางเดียวกัน และขยับเข้าสู่ความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้าใกล้ๆครับ ที่อีเมล์ tapanaONE@gmail.com หรือถ้าอยากรู้จักธุรกิจเอ็มแอลเอ็มที่ผมทำอยู่ เชิญคลิกลิงค์ http://www.elite-powerteam.com/tapana/

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

MLM Series One : (7) นักขาย MLM ทำงานหนัก รวยชัวร์

Money Loves Me Series One 
ตอนที่ 7 : นักขาย MLM ทำงานหนัก รวยชัวร์


ทำงานเดือนเดียวได้หลักพัน, หกเดือนได้หลักหมื่น, หนึ่งปีกว่าๆได้หลักแสน, สี่ปีรับหลักล้าน แถมมีโอกาสเที่ยวรอบโลก จ่ายจริง รับจริง เกษียณได้ไม่ต้องรออายุหกสิบ เลิกทำงาน แต่รายได้ยังไม่หยุด ไหลเข้าบัญชีต่อเนื่อง มีความมั่นคงมีอิสรภาพทางการเงิน ฯลฯ เป็นประโยคที่ได้ยินคุ้นหูเวลาใครชักชวนให้ไปทำธุรกิจเครือข่ายหรือเอ็มแอลเอ็ม

งานอะไรได้เงินง่ายขนาดนั้น เป็นเครื่องพิมพ์ธนบัตรหรือไร เทียบกับมนุษย์เงินเดือนอย่างคนส่วนใหญ่ที่ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต ลุ้นจนตัวโก่งหวังให้บริษัทขึ้นเงินเดือนแค่ไม่กี่เปอร์เซนต์ในแต่ละปี ถ้าได้โบนัสเหมือนถูกลอตเตอรี่เลขท้ายสองตัว เงินเดือนเหลือพอใช้ถึงปลายเดือนถือว่าเหลือเชื่อ เงินเก็บไม่ต้องพูดถึง ไม่เหลือหนี้ค้างบัตรเครดิตนับว่าเก่ง เพราะความคุ้นเคยวงจรชีวิตเงินๆทองๆแบบนี้เองครับ ที่คำโฆษณาข้างต้นของธุรกิจเอ็มแอลเอ็มจึงดูไม่ชอบมาพากล เสี่ยงเป็นเหยื่อของพวกสิบแปดมงกุฎ ได้ยินปุ๊บ โบกมือไล่ปั๊บ

แต่ความเป็นจริงคือ "มันเป็นไปได้จริง" และที่สำคัญแต่ละองค์กรในแวดวงเอ็มแอลเอ็ม ผู้ประสบความสำเร็จระดับนั้นมีมากกว่าบริษัทเอกชนทั่วไป ซึ่งเป็นรูปสามเหลี่ยม คือ พนักงานธรรมดาเปรียบได้กับฐานที่กว้างใหญ่ แต่ผู้บริหารสูงสุดเป็นยอดแหลมของสามเหลี่ยม ขณะที่ยอดของบริษัทเอ็มแอลเอ็มจะมีทรงสามเหลี่ยนหัวตัด บนยอดมีพื้นที่ให้คนเดินมากมาย ไม่ใช่แค่ขึ้นไปยืนปักธงแห่งความสำเร็จอย่างเดียวดาย หรือไม่กี่คนแบบธุรกิจส่วนใหญ่

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? คำตอบมีอยู่ แต่อยากเชื้อเชิญเข้าไปศึกษาหาความจริงเอาเอง สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น จุดนี้เพียงอยากบอกถึงหลักสำคัญที่ธุรกิจเครือข่ายนำไปใช้กระจายผลตอบแทนคือ "หลักการผ่อนแรง" ซึ่ง พอล เก็ตตี้ (Paul Getty) มหาเศรษฐีพันล้านคนแรกของโลก กล่าวไว้ว่า "ผมยินดีครับผลตอบแทนหนึ่งเปอร์เซนต์จากการทำงานของคนร้อยคน มากกว่าได้รับผลตอบแทนร้อยเปอร์เซนต์จากการทำงานของผมเพียงคนเดียว" เวลาฟังแผนธุรกิจของบริษัทเอ็มแอลเอ็ม จะเข้าใจประโยคนี้ได้ชัดเจนขึ้น

กลับมาที่่ประโยคชวนเชื่อในย่อหน้าแรก บางคนได้ยินได้อ่าน ก็ออกอาการยี้ลงกระเพาะทันที ไม่มีหรอกงานได้เงินเยอะๆง่ายๆแบบนี้ ลวงโลก ต้มตุ๋น สิบแปดมงกุฏแน่ๆ แต่กลับใช้ได้ผลกับบางคน ที่หูผึ่งตาลุกวาว เห็นช่องทางเศรษฐีอยู่ร่ำไร กระโจนเข้าสู่ธุรกิจนี้แบบไม่ต้องคิดหน้าห่วงหลังทันที ผลคือไม่กี่เดือนถัดจากนั้นมักรู้สึกเสียเงิน เสียเวลา เสียความรู้สึก มองเอ็มแอลเอ็มในแง่ลบ นำประสบการณ์ไปบอกต่อแบบเสียๆหายๆ เพราะไม่เห็นได้เงินเป็นชิ้นเป็นอันเลย แถมเสียเงินค่าสมัคร คอร์สอบรม สินค้าผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อรักษาสถานภาพ บลาๆๆๆ

บริษัทที่ทำธุรกิจเครือข่ายแบบฉ้อฉลมีอยู่ไม่น้อย หรือบางบริษัทก็สร้างฝันหวานให้เหล่าแมงเม่าด้วยการเขียนแผนธุรกิจจ่ายผลตอบแทนสวยหรู แต่เอาเข้าจริงจ่ายไม่ได้ หรือจ่ายได้แค่ 2-3 ปี ก็ปิดกิจการ บางบริษัทใช้ลูกเล่นหมกเม็ดเงื่อนไขยากๆจนนักขายปีนบันไดไปไม่ถึงเป้า พวกนักธุรกิจรุ่นพี่เขี้ยวลากดินก็มีส่วนทำให้วงการเอ็มแอลเอ็มด่างพร้อยเสียชื่อเสียง เอาแต่ต้อนนักขายน้องใหม่เข้าสายงาน ไม่ดูแลช่วยเหลือปล่อยไปตามยถากรรม ส่วนตัวเองก็รับเงินเปอร์เซนต์จากจำนวนนักขายที่อยู่ใต้สายงาน พอโกยรายได้สมใจ ก็ปัดก้นลุกหนีไปเริ่มวงจรใหม่กับบริษัทอื่น

ดังนั้น ใครสนใจทำขายตรงต้องพิจารณาบริษัทที่จะฝากอนาคตฝากชีวิต ต้องเลือกกันดีๆ ศึกษาหาข้อมูลแบบเจาะลึก รับฟังความเห็นของผู้มีประสบการณ์ ซึ่งวิธีง่ายหน่อยก็อาศัยกูเกิ้ล ค้นหาคำตอบเอา แต่ต้องเทียบกันหลายๆมุมมองทั้งบวกและลบ เพราะการโพสต์โจมตีทำลายบริษัทคู่แข่งก็มีอยู่ไม่่ใช่น้อย

ถ้าเลือกต้นสังกัดแบบเสี่ยงน้อย คงต้องฝากผีฝากไข้กับบริษัทเอ็มแอลเอ็มที่ดำเนินธุรกิจนานนับสิบๆปี มีความโปร่งใส มีธรรมภิบาล มีข่าวเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนสม่ำเสมอ มีธุรกิจแผนการตลาด จ่ายผลตอบแทนที่ชัดเจนยุติธรรมไม่เว่อร์ สินค้าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพเชื่อถือได้ ยิ่งเป็นบริษัทในลิสต์ผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงที่ได้รับใบอนุญาตจาก สคบ. (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) ก็น่าอุ่นใจมากขึ้น

หากได้ร่วมงานกับบริษัทดี ต้องบอกว่า คำชวนเชื่อข้างต้นไม่เกินความจริง มีนักขายนักธุรกิจอิสระในสังกัดที่ประสบความสำเร็จถึงจุดนั้นหลายคน แต่มีอีกประเด็นที่ต้องตระหนัก แม้เอ็มแอลเอ็มจะลงทุนต่ำ เสี่ยงน้อย และใช้เวลารวดเร็วเมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่หรือแฟรนไชส์ แต่การทำงานที่ทุ่มเท ตั้งใจจริง ศึกษาหาความรู้ พัฒนาทักษะความสามารถ ไม่ย่อท้ออุปสรรค อดทนต่อคำปฏิเสธถากถาง ฯลฯ ยังเป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตายของคนในอาชีพนี้เช่นกัน อย่าคิดว่าเอ็มแอลเอ็มเป็นเส้นทางสบายๆที่นำเราไปสู่ความมั่นคงและอิสระทางการเงิน

ถ้าคิดแบบนั้น ลุ้นรางวัลจากสลากกินแบ่งรัฐบาล ยังเป็นเส้นทางที่สบายกว่า ลงทุนน้อย ไม่โดนโกงแน่ แถมยังสามารถทำงานประจำต่อไปได้ด้วย ^^

MLM Series One : (6) AEC หนุน MLM ไทยทะลุแสนล้าน

Money Loves Me Series One
ตอนที่ 6 : AEC หนุน MLM ไทยทะลุแสนล้าน



จะว่าไปแล้ว ขายตรง (Direct Sell) เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทยมาเนิ่นนาน เราเคยปฏิเสธที่จะซื้อสารานุกรม เครื่องกรองน้ำ ภาชนะพลาสติก แหวนเพชรพลอย ประกันชีวิต ฯลฯ มาแล้วทั้งนั้น ทุกวันนี้โฆษณาขายของทางโทรทัศน์ ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของขายตรง การตลาดแบบตัวแทน (Affiliate Marketing) บนเว็บไซต์และโซเชียลเนตเวิร์คต่างๆก็ใช่ ช่วงหลายทศวรรษขายตรงได้รับการพัฒนาในเรื่องกระจายสินค้า ผลตอบแทน ระบบการบริหารจัดการ บุคลิกลักษณะคำพูดในการเสนอขาย ซึ่งบางครั้งดูสลับซับซ้อน เต็มไปด้วยเทคนิคเชิงวิชาการ ประโยคโฆษณาเชิญเชื้อเหนือจริง จนดูไม่น่าไว้วางใจ บวกกับการเสนอขายแบบประชิดตัว จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั่วไปจะมีสัญชาตญาณป้องกันตัวด้วยการปิดกั้น

เชื่อหรือไม่ครับ ธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย (Network Marketing Business) หรืออีกชื่อหนึ่งที่คุ้นเคยคือ เอ็มแอลเอ็ม (Multi-Level Marketing) ซึ่งใครต่อใครรู้สึกแง่ลบ กลับเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ รวมถึงชาติมหาอำนาจหรือพัฒนาแล้วในโลกธุรกิจ มีผู้คนยึดเป็นอาชีพคิดคร่าวๆประมาณหนึ่งเปอร์เซนต์ของประชากรโลก สร้างรายได้เงินหมุนเวียนจำนวนมหาศาล ซึ่งในมุมกลับ จำนวนนักขายและรายได้มากขนาดนี้ ย่อมบ่งชี้ว่ามีคน(ยอม)ซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์ขายตรงมากเช่นกัน

ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ เมื่อปี 2555 ทั่วโลกมีนักขายตรงราว 91.5 ล้านคน หรือประมาณหนึ่งเปอร์เซนต์ของประชากรโลก (เจ็ดพันล้านคน) และในปีเดียวกัน พวกเขาช่วยกันสร้างยอดขายมหาศาลถึง 1.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4.8 ล้านล้านบาท ยิ่งถ้ามองเฉพาะชาติยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี 2549-2552 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจของเมืองลุงแซมตกต่ำอย่างหนัก ธุรกิจเครือข่ายยังเติบโตทางตัวเลขรายได้ เช่น 1.14 ล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2550 และ 1.17 ล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2552

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีตลาดเอ็มแอลเอ็มใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก คิดเป็นสัดส่วนยี่สิบเปอร์เซนต์ของทั้งโลก ตามด้วยสามชาติเอเชีย ญี่ปุ่น สิบหกเปอร์เซนต์, จีน สิบเอ็ดเปอร์เซนต์ และเกาหลีใต้ แปดเปอร์เซนต์ อันดับห้าตกเป็นของบราซิล แปดเปอร์เซนต์ มียอดขายต่ำกว่าเกาหลีใต้ราว 90 ล้านเหรียฐสหรัฐ ขณะที่สมาคมสมาพันธ์การขายตรงโลก (World Federation of Direct Selling Association) สำรวจพบว่า นักธุรกิจขายตรงชุมนุมอยู่ในทวีปเอเชียมากที่สุดคือ 52 ล้านคน รองลงมาได้แก่ อเมริกาเหนือ 16.3 ล้านคน ขณะที่แอฟริกาใต้น้อยที่สุด ยังมีถึง 1.4 ล้านคน

เมืองไทยมีตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการของผู้ที่ประกอบอาชีพธุรกิจขายตรงอย่างจริงจังอยู่ที่ 5.4 ล้านคน หรือประมาณ 8.1 เปอร์เซนต์ของฐานประชากร (67 ล้านคน) สามารถสร้างยอดขายรวมกันได้ถึง 8.3 หมื่นล้านบาท แถมแต่ละปียังมีอัตราเติบโตในระดับ 5-7 เปอร์เซนต์ เอ็มแอลเอ็มนับเป็นธุรกิจและอาชีพที่มีอนาคตสดใสทีเดียว

อีกประเด็นที่น่าสนใจ บริษัทเอ็มแอลเอ็มในบ้านเรา ไม่ได้มีเพียงคนไทยทำเท่านั้น แต่มีชาวต่างด้าวเข้ามาประกอบอาชีพนักขายอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย ซึ่งก็ล้วนเป็นเพื่อนบ้านชายแดนติดกันอย่างพม่า ลาว และกัมพูชา ตัวอย่างจากตัวเลขของบริษัทซูเลียน ชาวพม่ามีจำนวนเป็นอันดับหนึ่งประมาณ 5,000 คน สามารถทำยอดขายตกเดือนละหลายสิบล้านบาท นอกจากนี้ในงานประชุม OPP ของค่ายใหญ่ๆอย่าง จอย แอนด์ คอย, คังเซน-เคนโก, ยูนิซิตี้, นีโอไลฟ์, กิฟฟารีน ล้วนมีชาวพม่า ลาว และกัมพูชา เข้ามาร่วมฟังโอกาสทำเงินและพัฒนาคุณภาพชีวิตมากมาย

ผมเคยเข้าฟังงาน OPP สองบริษัท มีชาวกัมพูชาเดินทางข้ามประเทศมาฟังถึงจังหวัดชลบุรี พวกเขาพูดฟังภาษาไทยได้ระดับหนึ่ง เขียนอ่านไม่ได้ แต่ยังขวนขวายหาช่องทางทำมาหากิน อุตส่าห์เดินทางมาไกลๆถึงต่างบ้านต่างเมือง

มีนักวิเคราะห์คาดการณ์อนาคตธุรกิจเครือข่ายในยุคเออีซี (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน) ซึ่งสิบประเทศในกลุ่มเออีซีมีประชากรรวมกันกว่า 600 ล้านคน ในปี 2558 ว่า ยอดขายในไทยอาจทะลุหลักแสนล้านต่อปีทีเดียว เพราะช่วงสิบปีที่ผ่านมา บางบริษัทได้รุกเข้าไปเปิดตลาดลาว พม่า กัมพูชา รวมถึงเวียดนามบ้างแล้ว ไม่นับการซื้อขายช่วงรอยตะเข็บของชายแดน ขณะที่เพื่อนบ้านเองก็เข้ามาศึกษาสินค้าผลิตภัณฑ์ ระบบธุรกิจการจ่ายผลตอบแทน เข้ารับอบรมเบื้องต้นขั้นกลางระดับสูงกันอย่างขมักเขม้น เพราะพวกเขามองเห็นโอกาสจนสามารถข้ามอคติเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายไปได้

เชื่อว่า เออีซีจะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับวงการเอ็มแอลเอ็ม เป็นรถด่วนสายธุรกิจอีกขบวนหนึ่งที่น่าร่วมเดินทางไปด้วย สองปีเป็นเวลานานพอสมควรที่จะเข้ามาศึกษาและทำธุรกิจเครือข่าย อย่างที่ โรเบิร์ต คิโยซากิ เจ้าของหนังสือซีรี่ส์ "พ่อรวยสอนลูก" บอกไว้ "ยังมีงานของผู้ประกอบการธุรกิจ ที่ลงทุนต่ำ เสี่ยงน้อย ใช้เวลารวดเร็ว และสามารถทำงานประจำต่อไปด้วย" นั่นคือ เอ็มแอลเอ็ม ^^

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

MLM Series One : (5) ธุรกิจทุนต่ำ เสี่ยงน้อย ได้ผลเร็ว

Money Loves Me Series One
ตอนที่ 5 : ธุรกิจทุนต่ำ เสี่ยงน้อย ได้ผลเร็ว


โรเบิร์ต คิโยซากิ เจ้าของหนังสือซีรี่ส์ดัง "พ่อรวยสอนลูก" บอกว่า มนุษย์เงินเดือน (E) สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจ (B) ด้วยงานที่ลงทุนต่ำ เสี่ยงน้อย ใช้เวลารวดเร็ว และยังทำงานประจำต่อไปได้อีก ... เห็นทางออกสู่ความมั่นและอิสรภาพทางการเงินแล้ว!!!

เขาสาธยายแจกแจงถึงเจ้าของธุรกิจว่ามีอยู่สามประเภท หนึ่งจากการสร้างบริษัทใหญ่ๆเช่น เดลล์คอมพิวเตอร์ หรือฮิวเลตต์แพคคาร์ด ซึ่งเริ่มต้นในหอพักนักศึกษาและในโรงรถ สองจากการซื้อระบบแฟรนไชส์มาบริหารอย่างแม็คโดนัลด์ สองประเภทดังกล่าวใช้เงินลงทุนก้อนโต ต้องใช้ทักษะความรู้ความสามารถประสบการณ์ทางธุรกิจ การตลาด การบริหาร การเงิน ฯลฯ  ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ ต้องกระโดดลงไปทำธุรกิจช่วงเริ่มต้นอย่างเต็มเวลา และเต็มไปด้วยความเสี่ยง อาจต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดความทุกข์ ก็เพราะแบบนี้ มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่จะสบายใจกว่าที่ผันตัวเองไปเป็นเพียงเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ (S)

มาถึงธุรกิจประเภทที่สามของ B ที่ลงทุนต่ำ เสี่ยงน้อย ใช้เวลารวดเร็ว และยังมีเงินจากงานประจำเข้าบัญชีธนาคารทุกเดือนให้อุ่นใจ นั่นคือ "ธุรกิจการตลาดแบบเครือข่าย" (Network Marketing Business) หรือที่บ้านเราเรียกเหมารวมว่า "ขายตรง" แม้ความหมายไม่ตรงเสียทีเดียว มีความแตกต่างปลีกย่อยหลายจุด

ขายตรงเป็นอาชีพที่ใครๆรู้สึกยี้ ปิดประตูไม่ต้อนรับ พลักไสให้ไปไกลๆนี่แหละครับ โรเบิร์ต คิโยซากิ กลับมองว่าเป็นหนทางสร้างรายได้แบบ Passive Income เขาถึงขนาดแยกเขียนธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายออกมาหนึ่งเล่มเต็มๆชื่อ Rich Dad's the Business School for People who Like Helping People หรือชื่อไทย "โรงเรียนสอนธุรกิจ สำหรับคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น" หนาประมาณสองร้อยหน้า

เขาเขียนเล่มนี้ขึ้นมาเป็นลำดับที่ห้าของซีรี่ส์ "พ่อรวยสอนลูก" แนะนำให้ผู้คนก้าวเข้าสู่ธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายทั้งที่ตัวเองไม่ได้ร่ำรวยขึ้นมาจากธุรกิจนี้ ว่ากันตามจริงเมื่อปี 1970 ช่วงที่เขากำลังก่อร่างสร้างตัว ทำทั้งงานประจำและธุรกิจส่วนตัว เพื่อนเคยชักชวนเขาให้เข้ามาทำธุรกิจดังกล่าว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจและยอมรับว่า ไม่ได้คิดถึงธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายอีกเลยจนกระทั่งอีกสิบห้าปีต่อมา

โรเบิร์ต คิโยซากิ กล่าวว่า "การเป็นคนร่ำรวยไม่ใช่จะทำกันง่ายๆ กว่าผมจะเรียนรู้และได้ประสบการณ์จนสร้างธุรกิจสำเร็จขนาดนี้ ต้องใช้เวลามากกว่าสามสิบปี ต้องพบกับความล้มเหลวสองครั้ง แต่ธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายจะมอบ 'ระบบธุรกิจสำเร็จรูป' แก่ผู้คนที่ต้องการควบคุมอนาคตทางการเงินของตัวเอง"

กุญแจดอกสำคัญไขสู่ความสำเร็จ ก็อยู่ในชื่อธุรกิจนี้อยู่แล้ว คือ "เครือข่าย" ... หลายคนใช้ประโยชน์จากพลังของเครือข่าย บางคนพึ่งพามันโดยไม่รู้สึกตัว บางคนรู้จักมันในชื่อ Connection อาศัยเลือดสีเดียวกันผ่านโรงเรียน มหาวิทยาลัย ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หลายคนเสียเงินลงเรียนหลักสูตรเพื่อสร้างคอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์ แฟรนไชน์อย่างร้านสะดวกซื้อเลข 7 รถเข็นบะหมี่เลข 4 ล้วนประสบความสำเร็จด้วยเครือข่าย เครือข่ายโทรศัพท์มือถือนี่ก็ใช่ คำว่า "ขยายเครือข่าย" ผ่านหูเราบ่อยครั้งจนไม่รู้สึกอะไร แต่เจ้าของธุรกิจตระหนักดีว่า เป็นตัวทำให้ประสบความสำเร็จ

"พ่อรวย" เคยพูดกับโรเบิร์ต คิโยซากิ ว่า "คนรวยมองหาวิธีสร้างเครือข่าย ขณะที่คนทั่วไปมองหางานทำ" ขณะที่นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นอเมริกันผู้นี้เองก็บอกว่า "หลายบริษัทในอุตสหกรรมการตลาดแบบเครือข่าย พยายามเลี่ยงที่จะใช้คำว่า 'การตลาดแบบเครือข่าย' เพราะรู้สึกความหมายไปในทางลบ แต่ 'เครือข่าย" นี่แหละเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จทางด้านการเงินอย่างแท้จริง"


กูรูทางการเงินรับประกันขนาดนี้ น่าจะลองเปิดใจทำความรู้จักธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายสักยกสองยก ถ้ายังยี้อีก ก็โบกมือร่ำลา หันหลังกลับไปทำงานประจำรับเงินเดือนต่อไปยังได้ (ผมเคยยี้มาก่อน หลายครั้งด้วย) ... แต่อย่าลืม คุณสามารถทำธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายพร้อมกับงานประจำ ^^

MLM Series One : (4) Passive Income อยู่เฉยๆ เงินวิ่งหา

Money Loves Me Series One
ตอนที่ 4 : Passive Income อยู่เฉยๆ เงินวิ่งหา


ร่วมดีใจอีกครั้งครับที่คุณสามารถหากระเป๋าเงินเสริมได้แล้วอย่างน้อยหนึ่งใบ แต่คงดีกว่าแน่ๆถ้าเงินไหลเข้ากระเป๋าใบนั้น โดยที่คุณไม่ต้องทำงาน ซึ่งฝรั่งใช้ศัพท์ว่า Passive Income และ โรเบิร์ต คิโยซากิ เจ้าของหนังสือซีรี่ส์ดัง "พ่อรวยสอนลูก" (Rich Dad Poor Dad) เขียนไว้ในเล่มที่ชื่อว่า "เงินสี่ด้าน" (Rich Dad's Cashflow Quadrant) ว่า มีคนสองจำพวกใหญ่ๆที่ "ไม่ต้องออกแรง ก็ได้เงิน" คือ เจ้าของธุรกิจ (Business) และ นักลงทุน (Investor)

เราคุ้นเคยกันดีกับความเป็น "เจ้าของธุรกิจ" ที่รับรายได้จากกิจการที่ตนเองเป็นเจ้าของ ซึ่งขนาด เงินลงทุน เงินหมุนเวียน ผลประกอบการของกิจการนั้นๆ อาจไม่ใข่สาระสำคัญ ต่อให้เป็นธุรกิจเรือนแสนหรือล้านต้นๆ ยังจัดอยู่ในกลุ่มนี้ได้หากเจ้าของสร้างระบบขึ้นมา รับลูกจ้าง (Employee) เข้ามาทำงานตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ รวมถึงผู้จัดการหรือผู้บริหารสูงสุด ที่คอยดูแลกิจการแทนขณะที่เจ้าของสามารถไปไหนทำอะไรได้อย่างอิสระ ขณะที่เงินยังไหลเข้ากระเป๋าตามปกติ ต่างกับเจ้าของธุรกิจระดับร้อยล้านพันล้าน แต่ถ้ายังต้องลุยงานลงแรงเองตลอด ซึ่ง โรเบิร์ต คิโยซากิ ยังจัดให้อยู่ในกลุ่มเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Small Business / Self-employed) อยู่ดี

กลุ่มสุดท้าย "นักลงทุน" ซึ่งในอดีตเป็นเรื่องไกลเกินตัวสำหรับคนทั่วไป แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระแสลงทุนมาแรง โดยเฉพาะลงทุนในตลาดหุ้นที่เป็นช่วงกระทิง(ขาขึ้น) มีเศรษฐีหน้าอ่อนเกิดขึ้นมากมาย มีพ็อกเก็ตบุ๊คแนะเล่นหุ้นออกมาไม่ขาดสาย ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า รวมทั้งหนังสือลงทุนรูปแบบอื่นๆ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม ทองคำ อสังหาริมทรัพย์

การลงทุนจึงเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว ไม่ใช่กิจกรรมของคนรวยอีกต่อไป คนทั่วไปสามารหาข่าวสารข้อมูลความรู้มาเป็นอาหารสมองได้ง่าย กระทั่งลงทุนในตลาดหุ้น ก็ซื้อขายแค่ไม่กี่คลิกผ่านโน้ตบุ๊คสมาร์ทโฟน ทำที่ไหนก็ได้ที่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต ลงทุนกับหุ้นแต่ละตัวก็ไม่ต้องใช้เงินมากมาย (เป็นพันหรือหมื่นต้นๆก็ได้ แต่ไม่คุ้ม) หรือซื้อหุ้นแบบสะสม เลือกบริษัทที่พื้นฐานดี ผลประกอบการเด่น มีเงินปันผลทุกปี และยังมีอนาคตสดใส แล้วซื้อหุ้นด้วยจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือน ไม่ต้องสนใจราคาหุ้นขณะนั้นขึ้นหรือลง (แต่ต้องติดตามข่าวคราวด้วย เพราะพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก บริษัทอาจมีอันเป็นไปแบบไม่คาดฝัน)

สำหรับผู้ที่ไม่เวลาศึกษาหรือติดตามข่าวสาร ก็ใช้วิธีลงทุนกับกองทุนรวมหุ้น เป็นการเอาเงินไปให้มืออาชีพผู้เชี่ยวชาญ(ธนาคาร)ลงทุนแทน จะซื้อขายหุ้นตัวไหน กลุ่มธุรกิจอะไร ที่ราคาเท่าไร ฯลฯ โดยใช้วิธีซื้อสะสมหน่่วยลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่าเดิมทุกเดือนเช่นกัน แต่ถ้ากลัวความไม่แน่นอนผันผวนของตลาดหุ้น ก็สามารถลงทุนกับกองทุนรวมรูปแบบที่ปลอดภัย (แต่ผลตอบแทนอาจน้อยกว่า) อย่าง ตราสารหนี้ ตลาดการเงิน อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าพวกหุ้น นอกจากนี้ลงทุนด้วยการซื้อสิ่งก่อสร้างแล้วปล่อยเช่า บ้าน ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว คอนโด หรือที่ดิน ก็เป็นเรื่องคนไทยนิยมทำกัน ยังมีวิธีลงทุนอีกมากมาย ต้องศึกษาเพื่อตัดสินใจว่า รูปแบบไหนถูกจริตหรือเงินทุนของเรา

ปัจจุบันพบว่า แต่ละเดือนผู้มีรายได้ประจำจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนหุ้น กองทุนรวม ทองคำ เพราะผลิดอกออกผลเบ่งบานกว่าฝากธนาคารกินดอกเบี้ย ซึ่งแค่ไม่กี่เปอร์เซนต์ต่อปี แถมยังโดนหักภาษี และถ้าเอาเงินเฟ้อไปคิดด้วย แทบไม่เหลืออะไร อย่างไรก็ดีแม้เป็นการใช้เงินทำงาน แต่ด้วยเงินต้นที่น้อย จึงต้องใช้เวลาหลายปี กว่าไปถึงจุดอิสรภาพทางการเงิน ต่างกับพวกที่พกเงินถุงเงินถังอย่างเจ้าของธุรกิจ ซึ่งผลตอบแทนจะเพิ่มพูนได้มากและรวดเร็วถึงระดับไม่ต้องออกแรงก็ได้เงินที่มากพอจนรู้สึกมั่นคงและมีอิสรภาพทางการเงิน

มองเห็นแบบนี้แล้ว E อย่างเราๆท่านๆ ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประชากรโลก คงอยากข้ามฟากเงินสี่ด้านมาเป็น B เพื่อรับเงินแบบ Passive Income ก่อนควบตำแหน่ง I อีกทาง

โรเบิร์ต คิโยซากิ ให้ความเห็นว่า ในความเป็นจริงแล้วยาก ส่วนใหญ่เปลี่ยนได้แค่เป็น S ซึ่งยังมีรายรับแบบ Active Income อยู่ดี เพราะมันไม่ง่ายเหมือนเปลี่ยนอาชีพเปลี่ยนงาน ธุรกิจขนาดใหญ่อย่างที่ทำกัน เงินทุนไม่ใช่เงื่อนไขเดียว แต่ยังต้องทุ่มเททั้งกำลังใจ กำลังกาย ความอดทน เวลา และที่สำคัญ ต้องล้วงลงไปถึงแก่นแท้จิตวิญญาณ เปลี่ยนวิธีคิดการมองโลกกันเลยทีเดียว (อ่าน "เงินสี่ด้าน" แล้วจะเห็นว่า E และ S มีความคิดความอ่านอารมณ์ความรู้สึกต่างกับ B และ I อย่างสิ้นเชิง)

มาถึงบรรทัดนี้ มนุษย์เงินเดือนอย่าเพิ่งท้อเพราะ โรเบิร์ต คิโยซากิ บอกด้วยว่า "ยังมีงานของ B ที่ลงทุนต่ำ เสี่ยงน้อย และใช้เวลารวดเร็ว" และอีกข่าวดี "สามารถทำงานประจำต่อไปด้วย" ^^

MLM Series One : (3) Active Income ออกแรงถึงได้เงิน

Money Loves Me Series One
ตอนที่ 3 : Active Income ออกแรงถึงได้เงิน


ขอแสดงความยินดีครับเมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ คุณสามารถมองหาช่องทางเพิ่มกระเป๋าเงินเสริมได้แล้วอย่างน้อยหนึ่งใบ แต่อย่าหยุด ขอให้ตั้งใจมองหากระเป่าใบต่อๆไป แม้มันจะ "ตุง" กว่ากระเป๋าเงินหลักก็ตาม เพราะมีกระเป๋าเสริมสองใบ ย่อมอุ่นใจกว่าใบเดียวอยู่แล้ว

ผมมีอีกมุมมองหนึ่งที่อยากแชร์ครับ ลองมองวิธีที่คุณนำธนบัตรเข้ากระเป๋าเงินทั้งหลักและเสริมเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ... "ถ้าหยุดทำงาน เงินจะหยุดตามไปด้วย"

ถ้าเป็นลูกจ้าง ก็ชัดเจน ขาดงานลางานมาสายเกินกำหนด โดนหักเงินแน่ หรือถ้าไม่มีงานให้ทำแล้วเพราะถูกเลย์ออฟ ไล่ออก หรือบริษัทเลิกกิจการ ล้วนเท่ากับสิ้นสุดรายรับหลักจากแหล่งเงินนี้ กรณีรายได้เสริม เงินก็มีโอกาสขาดตอนหรือหยุดไปเลยด้วยหลายเหตุผล เจ็บป่วย มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ทำงานไม่ได้ เช่นกรณีพึ่งพาซัพพลายเออร์ อาจไม่ได้รับสินค้าให้นำไปขายต่อ หรือพิษเศรษฐกิจ ทำให้ลูกค้าหาย กำลังซื้อหด สรุปคืองานที่ทำนั้น หยุดไม่ได้ ยังต้องทำงานไปเรื่อยๆ เพื่อให้เงินเข้าต่อเนื่อง ไม่มีเกษียณแบบข้าราชการ ซึ่งหยุดทำงานยังได้รับเงินบำนาญทุกเดือน

อีกนัยหนึ่ง เป็นรายได้เข้ากระเป๋าเงินด้วยลักษณะ "ต้องออกแรง จึงได้เงิน" ฝรั่งบัญญัติศัพท์วิธีสร้างรายได้แบบนี้ว่า Active Income

จากหนังสือ "เงินสี่ด้าน" (Rich Dad's Cashflow Quadrant) ซึ่งเป็นเล่มที่สองของซีรี่ส์ "พ่อรวยสอนลูก" (Rich Dad Poor Dad) เขียนโดย โรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้ท้าทายความคิดเรื่องเงินๆทองๆที่คนส่วนใหญ่ยึดถือมายาวนาน โดยเฉพาะประโยคที่ว่า "บ้านไม่ใช่ทรัพย์สิน แต่เป็นหนี้สิน" แต่อีกด้านหนึ่ง หนังสือเล่มแรกๆของเขาช่วยกระตุ้นให้ผู้คนมากมายฉุกคิดกับมุมมองที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน ซึ่งนำไปสู่อิสรภาพทางการเงิน

เขาชี้ให้เห็นว่า การทำงานเพื่อเงินเดือนสูงๆ ไม่ช่วยให้รวย, เหตุที่คนส่วนใหญ่มีปัญหาทางการเงิน เพราะระบบการศึกษาสอนให้ขยันเรียน ออกไปหางานดีๆกับบริษัทที่มั่นคง หรือทุกวันนี้ เราทำงานเพื่อเงิน โดยไม่รู้ว่าสามารถใช้เงินทำงานแทนเราได้ เป็นต้น

หนังสือเงินสี่ด้านบอกว่า คนส่วนใหญ่ในโลกล้วนกำลังดิ้นรนหาเงินเลี้ยงชีพแบบ Active Income และโรเบิร์ต คิโยซากิ ยังจำแนกคนที่ทำงานหาเงินด้วยวิธีนี้เป็นสองจำพวกใหญ่ๆคือ ลูกจ้าง (Employee) และ เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Small Business / Self-employed)

ภาพของกลุ่มแรก (E) นั้นชัดเจน เป็นคนต้องทำงานในวงราชการ รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน รวมถึงธุรกิจเล็กๆน้อยๆ แล้วรับเงินเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ หรือรายเดือนก็ว่ากันไป จะมีรายรับหลักพัน หมื่น หรือแสนบาท ยังเข้าข่ายเป็นลูกจ้างอยู่ดี ส่วนอีกกลุ่ม (S) แยกย่อยเป็นสองพวกได้แก่ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ หรือเอาท์ซอร์ชที่รับงานมา (Self-employed) เช่น ทนายความ ช่างซ่อมไฟฟ้า ช่างทำงานฝีมือ นักเขียน นักแปล นักพูด วิทยากร เทรนเนอร์ส่วนตัว ฯลฯ และเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก (Small Business) เช่น ขายของตลาดนัด แผงลอย เจ้าของแฟรนไชส์เล็กๆอย่าง ข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ ทำกุญแจ ซ่อมนาฬิกา ฯลฯ คนกลุ่มนี้มีธุรกิจเป็นของตัวเองแต่ยังต้องลงมือทำงานเอง ซึ่งรวมถึงเจ้าของธุรกิจใหญ่โตลงทุนหลักล้าน แต่ปล่อยมือไม่ได้ ไว้วางใจใครไม่เป็น ยังต้องเข้าออฟฟิศ ตามเก็บงานทุกเม็ด ก็ยังเป็นเจ้าของธุรกิจที่ "ต้องออกแรง จึงได้เงิน"

ผ่านแล้วสองกลุ่มของเงินสี่ด้าน ยังเหลืออีกสอง สองกลุ่มหลังใช้วิธีสร้างรายได้แบบ Passive Income คือเงินไหลเข้ามาเรื่อยๆ ขณะที่เจ้าตัวไม่เข้าออฟฟิศ ไม่ได้ทำงาน นอนเล่นอยู่ในบ้าน พักผ่อนหย่อนใจที่ต่างจังหวัดต่างประเทศ

มีด้วยหรือ "ไม่ต้องออกแรง ก็ได้เงิน" ... มีซิครับ โรเบิร์ต คิโยซากิ เขียนไว้แล้วในหนังสือเงินสี่ด้าน ซึ่งฉบับภาษาไทย หนาเกือบ 400 หน้า!!!

MLM Series One : (2) เงินเพิ่มด้วยงานที่รักและชำนาญ

Money Loves Me Series One
ตอนที่ 2 : เงินเพิ่มด้วยงานที่รักและชำนาญ



พิษต้มยำกุ้งปี 2540 แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจประเทศเดียวส่งผลกระทบกระจายไปทั่วโลกได้รุนแรงขนาดไหน จากนั้นยังมีวิกฤติเศรษฐกิจอีกหลายครั้งที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลก อาทิ ซับไพร์มในสหรัฐอเมริกา วิกฤติเศรษฐกิจในกรีซ หรือกระทั่งเหตุการณ์ที่ไม่ถึงขั้นวิกฤติอย่าง ปัญหาการส่งออกของจีน นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ยังสามารถสร้างความปั่นป่วนให้หลายประเทศได้

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ซึ่งจะเริ่มขึ้นภายในปี 2538 ก็เชื่อได้ว่า จะส่งผลทั้งด้านบวกและลบให้กับธุรกิจไทย ทั้งผู้ประกอบการเอง และลูกจ้างมนุษย์เงินเดือน หนำซ้ำในอนาคต เออีซีจะเป็นอาเซียน+3 โดยเพิ่มมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ด้วย และต่อไปจะมีการเจรจากับ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย เป็นอาเซียน+6

กระแสกระตุกให้คนไทยปรับตัวรับมือกับเออีซี ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นพัฒนาทักษะความสามารถ กระทั่งลักษณะนิสัยที่เป็นข้อด้อยของชาติอย่าง ไม่ตรงต่อเวลา วินัยย่อหย่อน ไม่ซื่อสัตย์ ทำงานวันแมนโชว์ แสดงความเห็นผิดที่ผิดเวลา ขาดการคิดวิเคราะห์คิดรวบยอด เป็นต้น

"เพิ่มรายได้หลายกระเป๋าเงิน" เป็นอีกวิธีที่จะนำไปรับมือกับการเปิดเสรีให้กับสินค้า บริการ แรงงานฝีมือ และเงินทุน ในหมู่สิบประเทศอาเซียน เพราะการมีแหล่งรายได้ใหม่เพิ่มเติมหรือ "กระเป๋าเงินสำรอง" จะช่วยให้อุ่นใจหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับแหล่งรายได้หลัก

โชคดีของคนยุคนี้ที่มี "โอกาส" อยู่เต็มไปหมด อยู่ที่ว่าจะพยายามมองหาแค่ไหน ไอเดียเพิ่มกระเป๋าเงินมีตัวอย่างจริงให้เห็นรอบตัว ออกไปนอกบ้านก็เห็น เล่นเฟซบุ๊คก็เห็น หนังสือแนวธุรกิจก็พิมพ์ออกมามากมายจนเป็นหนึ่งในหมวดยอดนิยม คอร์สอบรมสัมมนามีให้ศึกษาทั้งเสียเงิน ฟรี หรือนั่งเรียนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ในบ้าน ฯลฯ

มีใครคนหนึ่งพูดว่า "ถ้าตั้งใจมองหาไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งมันจะโผล่ออกมาให้เห็นเอง" ฟังดูอาจเหนือธรรมชาติ แต่ทำดู จะพบว่า..จริง!!

หรือจะใช้สองขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อมองหากระเป๋าเงินเพิ่มเติมก็ได้

หากระดาษมาแผ่นหนึ่ง เขียนสิ่งที่ชอบทำ กิจอะไรที่สามารถทำแบบหมกหมุ่น ทำชนิดลืมเวลา ยอมทำให้ฟรีๆ หรือเรื่องอะไรที่คนรู้จักชอบมาขอคำปรึกษาแนะนำ เช่น งานไฟฟ้า ปลูกต้นไม้ดอกไม้ รถยนต์ ขายของบนอินเตอร์เน็ต ปัญหาส่วนตัว ความรักความสัมพันธ์ การดูแลสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ ลิสต์ที่อยู่บนกระดาษคือ งานที่คุณ "รัก" และ "ชำนาญ" ในระดับที่คนอื่นมองว่า คุณเป็นกูรูด้านนี้ ถ้ามีปัญหาเรื่องนี้ จะนึกถึงคุณเป็นคนแรกๆ

ขั้นตอนที่สอง ให้คิดวิธีหาเงินจากงานที่รักและชำนาญ ไม่ต้องห่วงจะหาวิธีไม่ได้ เพราะ "ถ้าตั้งใจมองหาไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งมันจะโผล่ออกมาให้เห็นเอง" เชื่อซิ..ทำแบบนี้ กระเป๋าเงินสำรองใบเดียวยังน้อยไปด้วยซ้ำ ยังจะมีใบต่อมาตามมาแน่นอน และไม่ต้องห่วงว่าจะทำไม่ไหว เพราะมันเป็นงานที่คุณสามารถทำชนิดลืมเวลา

ขนาดทำฟรี ยังทำเลย และนี่เป็นงานที่ "ทำไป เงินมา" นะอย่าลืม ^^

MLM Series One : (1) อุ่นใจเพิ่มรายได้หลายกระเป๋าเงิน

Money Loves Me Series One
ตอนที่ 1 : อุ่นใจเพิ่มรายได้หลายกระเป๋าเงิน

จากวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ส่งผลให้หลายคนมองว่า งานที่มั่นคงยั่งยืนร้อยเปอร์เซนต์ไม่มีอีกแล้ว ขนาดบริษัทไฟแนนซ์ที่สร้างความมั่งคั่งให้กับเหล่ามนุษย์ทองคำ ยังล่มสลายลงอย่างไม่คาดฝันและรวดเร็ว ... แล้วเราจะทำงานด้วยความหวาดผวาไปตลอดชีวิตหรือ ต้องเงี่ยหูฟังข่าวเศรษฐกิจด้วยความวิตกว่า จะถึงจุดๆที่บริษัทนายจ้างจำเป็นต้องลดเงินเดือน เลย์ออฟ รูดม่านปิดกิจการหรือเปล่า

ทำงานที่เดียว พึ่งพาแหล่งรายได้แหล่งเดียว ก็เหมือนกับประโยคที่นักลงทุนเตือนกันรุ่นต่อรุ่นว่า "อย่าใส่ไข่ไก่ไว้ในตะกร้าใบเดียว" เพราะถ้าพลาดพลั้ง ตะกร้าหลุดมือ ไข่จะตกแตกไม่เหลือสักใบ แต่ถ้าแยกไข่ใส่ไว้หลายตะกร้า ใบหนึ่งตก ก็ยังเหลือไข่ในตะกร้าใบอื่น เปรียบได้กับไม่ควรเสี่ยงเอาเงินที่อุตส่าห์สะสมทั้งหมด ไปลงทุนกับอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรกระจายให้ไปงอกเงยในหลายๆทางเช่น ซื้อหุ้นหลายตัว ลงทุนกับกองทุนรวม พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
 

ชอบหนังสือ "เพิ่มรายได้หลายกระเป๋าเงิน" (Put more cash in more wallets) เขียนโดย "อมิตา อริยอัชฌา" ซึ่งแนะนำมนุษย์เงินเดือน ให้สร้างกระแสรายได้ใหม่ ที่่ไม่ต้องพึ่งพาการใช้แรงงานหรือเวลามากมาย เป็นแหล่งรายได้ใหม่หรือ "กระเป๋าเงินสำรอง" ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ และแน่นอน ยิ่งมีกระเป๋าสำรองหลายใบ ก็ยิ่งลดความเสี่ยง เป็น "แผนสำรอง" ให้กับเรื่องเงินๆทองๆ

การหากระเป๋าเงินสำรองเหมาะกับทุกคนที่ฝากอนาคตไว้กับท่อน้ำเลี้ยง(เงิน)ท่อเดียว โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน ไม่สำคัญว่าจะทำงานกับราชการ รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน ที่มั่นคงยิ่งใหญ่ มีผลประกอบการเลอเลิศ มีปันผลโบนัส ไม่สำคัญว่าตำแหน่งหน้าที่จะใหญ่โตหรือเล็กจิ๋ว ตัวเลขเงินเดือนอยู่ที่หลักพัน หมื่น หรือแสน เพราะถ้าไม่มีงานทำ ก็ไม่มีเงินเหมือนกันหมด

อย่าลืมความรู้สึก "สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ" ถ้าวิเคราะห์กันลึกๆพบว่า ไม่ได้อยู่ที่รายได้น้อย รายจ่ายมาก หรือมีภาระหนี้สินอะไร แต่อยู่ที่คุณ "กำลังแขวนชีวิตไว้กับ..รายได้ก้อนเดียว"

ความรู้สึก "สิ้นเดือนไม่เห็นจะตาย" จะเกิดขึ้นแทนถ้ามีรายได้อีกหลายก้อนรออยู่ในวันข้างหน้าอันใกล้..ใช่ไหม?

เพื่อก้าวไปสู่อิสรภาพทางการเงิน เริ่มมองหากระเป๋าเงินสำรองใบที่ 2, 3,... กันดีกว่า

และถึงเป็นกระเป๋าเงินสำรอง ไม่ได้หมายความว่า ธนบัตรที่อยู่ข้างใน จะน้อยกว่ากระเป่าเงินหลัก

บางทีกระเป๋าใบนี้อาจ "ตุง" กว่าด้วยซ้ำ ^^