หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

เรียนไป ทำงานไป ได้เงินด้วย

เหมาะสมแล้วที่โรเบิร์ต คิโยซากิ ตั้งชื่อหนังสือที่เขียนถึงธุรกิจเครือข่ายว่า "โรงเรียนสอนธุรกิจ" เพราะขนาดยังไม่ได้ทำอาชีพนี้ แค่ลองเข้าไปฟังข้อมูลเพื่อตัดสินใจ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในรั้วโรงเรียน "เตรียม อ.อ.อ." (เอ็มแอลเอ็ม) และสิ่งทีเกิดขึ้นทันทีที่เป็นนักธุรกิจเครือข่ายชนิดเต็มตัวก็คือ "เรียนไป ทำงานไป ได้เงินด้วย แถมรูปกายภายนอกดูดีอีก" ... ชีวิตจะเพอร์เฟ็คอะไรขนาดนั้น

โรเบิร์ต คิโยซากิ กูรูด้านลงทุนและการเงินชาวอเมริกัน เจ้าของหนังสือซีรี่ส์ดัง "พ่อรวยสอนลูก" ตั้งชื่อเล่มที่เขียนถึงธุรกิจเครือข่ายไว้ค่อนข้างยาวว่า Rich Dad's the Business School for People who Like Helping People (ชื่อไทย "โรงเรียนสอนธุรกิจ สำหรับคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น") แต่คำที่เขาเน้นให้มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษบนหน้าปกคือ "the Business School" หรือ "โรงเรียนสอนธุรกิจ"

ขณะอ่านยังไม่ค่อยเก็ตกับชื่อหนังสือ จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่ธุรกิจเครือข่ายหรือเอ็มแอลเอ็มอย่างเต็มตัว ถึงซาบซึ้งกับคำว่า "the Business School" เพราะทำงานสายอาชีพนี้เหมือนกับเข้าโรงเรียนจริงๆ แต่ที่ดีกว่ามากๆคือ "เรียนไป ได้เงินไป" ไม่ต้องรอให้จบรับปริญญาแล้วค่อยออกไปหางานหาเงินเหมือนสมัยมหาวิทยาลัย

ในฐานะที่เดินผ่านรั้วโรงเรียน อ.อ.อ. มาก่อน ขอแนะนำในนักเรียนใหม่ลืมความรู้เดิม วางอีโก้จากความสำเร็จในสายงานเดิม ทำตัวเป็นแก้วเปล่า รอรับน้ำที่กำลังจะถูกเติม มีตัวอย่างผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจส่วนตัวท่านหนึ่ง กิจการไปได้ดี ค้าขายมีกำไร แล้วหันมาจับงานขาย พอตั้งหลักได้ปุ๊บ ท่านก็ลุยสร้างเครือข่ายด้วยวิธีของตัวเองทันที ไม่สนที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากคอร์สอบรมของบริษัท ผลคือแป๊กครับ ถึงสปอนเซอร์คนเข้าเครือข่ายได้ แต่เหนื่อยสายตัวแทบขาด และจำนวนไม่ได้มากตามเป้า เป็นอยู่อย่างนี้หลายเดือน ถึงตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้แนวทางของบริษัทดู ผลคือเวิร์คสุดๆ เหนื่อยน้อย คนที่ตอบรับทำธุรกิจไม่เพียงมาก แต่เป็นคนที่มีประสิทธิภาพด้วย (ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ต้องเดินตามเป๊ะๆ เป็นสูตรคณิตศาสตร์นะครับ แค่ยึดเป็นแนวทาง และปรับเปลี่ยนประยุกต์ใช้ตามสถานการณ์)

ส่วนใหญ่ บริษัทที่ทำธุรกิจเครือข่ายจะเชิญผู้สนใจเข้ามาฟังบรรยายเพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจสมัครทำธุรกิจอยู่แล้ว เรียกว่า OPP (ย่อมาจาก Opportunity หรือ "โอกาส") หรือ Super OPP กรณีที่เป็นงานใหญ่ มีวิทยากรดังๆมาพูด เนื้อหาหลักๆจะเป็นการป้อนทัศนคติใหม่ๆที่มีต่องาน เงิน เวลา และชีวิต ซึ่งจะได้จากการเข้ามาทำธุรกิจเครือข่ายเมื่อเทียบกับงานประจำที่ทำอยู่ในฐานะมนุษย์เงินเดือน รวมถึงแนะนำบริษัท ผลิตภัณฑ์ตัวสินค้าที่จะนำไปขาย ผลตอบแทนที่ได้รับจากแผนการตลาด โบนัสรูปแบบต่างๆ ฯลฯ

ถ้าเริ่มสนใจธุรกิจเครือข่าย จะมีบรรยายสอนวิธีทำงานกันเลยทีเดียวเสมือนเป็นนักธุรกิจอิสระกันแล้ว เช่น ทำบัญชีรายชื่อผู้มุ่งหวัง (เป้าหมายที่จะติดต่อชักชวน), ไดอะล็อคในการโทรศัพท์นัดหมาย, วิธีนำเสนอแผนงาน, ติดตามผล ฯลฯ ซึ่งมาถึงจุดนี้ เป้าหมายก็มีข้อมูลมากพอแล้วที่จะตัดสินใจเดินหน้าหรือถอยหลังกลับไปทำงานเก่า

หลังจากสมัครเป็นนักธุรกิจอิสระแล้ว ใครที่มุ่งมั่นจริงๆมักกลับมาศึกษาเรื่องที่เคยฟังไปแล้วแบบเจาะลึกลงในรายละเอียด รวมทั้งขวนขวายพัฒนาทักษะอื่นๆเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพอย่างเช่น ทัศนคติสู่ความสำเร็จ การเป็นผู้นำ การสื่อสาร การพบปะผู้คน การเอาชนะความกลัว ความสงสัย ความไม่มั่นใจในตัวเอง การเอาชนะความกลัวจากคำปฏิเสธ การสร้างความน่าเชื่อถือ การบริหารเงิน การลงทุน การบริหารเวลา การจัดระบบ เป็นต้น รวมทั้งการปรับปรุงบุคลิกภาพ รูปร่างหน้าตา การแต่งตัว กิริยามารยาท ฯลฯ จะเห็นว่ามีเรื่องที่ให้เรียนรู้พัฒนาไม่มีที่สิ้นสุด เรียนไป ลองลงมือทำจริง รับเงินด้วย แถมทำให้ตัวเองดูดีขึ้นอีก

นั่นเป็นทักษะความรู้ที่จำเป็นต่อนักธุรกิจอิสระแบบออฟไลน์ คือพวกที่ออกไปพบปะพูดคุยกับผู้คน แต่ยังมีนักธุรกิจอิสระอีกกลุ่มหนึ่งที่เลือกใช้วิธีออนไลน์ ใช้เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ไอทีเป็นเครื่องมือสื่อสารถึงเป้าหมายหรือผู้มุ่งหวังแบบไม่ต้องเจอตัว คนกลุ่มนี้จะต้องศึกษาเรื่องอุปกรณ์ไอทีอย่าง โน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน แล้วใช้กลยุทธ์ทางออนไลน์ มาร์เก็ตติ้ง อาทิ เอสอีเอ็ม แลนดิ้งเพจ อีเมล์ วิดีโอคลิป โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค บล็อค คลาสสิฟายด์เว็บบอร์ด เป็นต้น

บางบริษัทบางกลุ่มก็จะสอนเรื่อง mindset ล้วงลึกถึงแก่นแท้จิตวิญญาณ เปลี่ยนวิธีคิดการมองโลกและทัศนคติกันเลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้ควรเรียนรู้ตั้งแต่ต้นจะดีกว่า และมีความสำคัญไม่ว่าจะทำงานแบบออฟไลน์หรือออนไลน์

โรเบิร์ต คิโยซากิ เขียนไว้ในหนังสือเล่มดังกล่าวถึงโอกาส 8 ข้อที่จะได้รับเมื่อเข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย ซึ่งข้อแรกคือ "โอกาสในการเรียนรู้ธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ" และเหตุผลข้อที่หนึ่ง ที่เขาอยากชักชวนให้ผู้คนเข้าสู่สายอาชีพนี้ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีจากเอ็มแอลเอ็ม ไม่ใช่เพราะ "แผนการตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูง" แต่เป็น "กระบวนการในการอบรมของบริษัท" ต่างหาก

ถ้าคุณกำลังเลือกบริษัทที่จะฝากผีฝากไข้ฝากอนาคตในวงการเอ็มแอลเอ็ม อย่ามุ่งความสนใจไปที่ผลตอบแทนเกินความจำเป็น แต่ให้มองหาบริษัทที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากร ซึ่งจะช่วยให้บริษัทเติบโตแบบยั่งยืนกว่าการใช้เงินเป็นตัวล่อดึงเข้ามาเยอะๆ

และถ้า "อัพไลน์" หรือคนที่ดึงคุณเข้าไปอยู่ใต้เครือข่าย จะเป็นพวกให้ความสำคัญกับการศึกษา พัฒนาความรู้ความสามารถ พร้อมเป็น "โค้ช" หรือ "เทรนเนอร์" ให้กับคุณ ยิ่งเยี่ยมยอดขึ้นไปอีก คือคุณจะได้รับแรงหนุนทั้งจากบริษัทและทีมงาน

จากนั้นก็เป็น "คุณ" แล้วล่ะครับที่จะเรียนไป ทำงานไป ได้เงินด้วย แถมรูปกายภายนอกดูดีอีก ... ชีวิตจะเพอร์เฟ็คอะไรขนาดนั้น ^-^

ขอเชิญทำความรู้จักธุรกิจเครือข่ายได้ที่  http://www.elite-powerteam.com/tapana
พบปะแลกเปลี่ยนมุมมองได้ที่  https://www.facebook.com/tapana.jcteam

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น