หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

MLM Series One : (3) Active Income ออกแรงถึงได้เงิน

Money Loves Me Series One
ตอนที่ 3 : Active Income ออกแรงถึงได้เงิน


ขอแสดงความยินดีครับเมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ คุณสามารถมองหาช่องทางเพิ่มกระเป๋าเงินเสริมได้แล้วอย่างน้อยหนึ่งใบ แต่อย่าหยุด ขอให้ตั้งใจมองหากระเป่าใบต่อๆไป แม้มันจะ "ตุง" กว่ากระเป๋าเงินหลักก็ตาม เพราะมีกระเป๋าเสริมสองใบ ย่อมอุ่นใจกว่าใบเดียวอยู่แล้ว

ผมมีอีกมุมมองหนึ่งที่อยากแชร์ครับ ลองมองวิธีที่คุณนำธนบัตรเข้ากระเป๋าเงินทั้งหลักและเสริมเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ... "ถ้าหยุดทำงาน เงินจะหยุดตามไปด้วย"

ถ้าเป็นลูกจ้าง ก็ชัดเจน ขาดงานลางานมาสายเกินกำหนด โดนหักเงินแน่ หรือถ้าไม่มีงานให้ทำแล้วเพราะถูกเลย์ออฟ ไล่ออก หรือบริษัทเลิกกิจการ ล้วนเท่ากับสิ้นสุดรายรับหลักจากแหล่งเงินนี้ กรณีรายได้เสริม เงินก็มีโอกาสขาดตอนหรือหยุดไปเลยด้วยหลายเหตุผล เจ็บป่วย มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ทำงานไม่ได้ เช่นกรณีพึ่งพาซัพพลายเออร์ อาจไม่ได้รับสินค้าให้นำไปขายต่อ หรือพิษเศรษฐกิจ ทำให้ลูกค้าหาย กำลังซื้อหด สรุปคืองานที่ทำนั้น หยุดไม่ได้ ยังต้องทำงานไปเรื่อยๆ เพื่อให้เงินเข้าต่อเนื่อง ไม่มีเกษียณแบบข้าราชการ ซึ่งหยุดทำงานยังได้รับเงินบำนาญทุกเดือน

อีกนัยหนึ่ง เป็นรายได้เข้ากระเป๋าเงินด้วยลักษณะ "ต้องออกแรง จึงได้เงิน" ฝรั่งบัญญัติศัพท์วิธีสร้างรายได้แบบนี้ว่า Active Income

จากหนังสือ "เงินสี่ด้าน" (Rich Dad's Cashflow Quadrant) ซึ่งเป็นเล่มที่สองของซีรี่ส์ "พ่อรวยสอนลูก" (Rich Dad Poor Dad) เขียนโดย โรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้ท้าทายความคิดเรื่องเงินๆทองๆที่คนส่วนใหญ่ยึดถือมายาวนาน โดยเฉพาะประโยคที่ว่า "บ้านไม่ใช่ทรัพย์สิน แต่เป็นหนี้สิน" แต่อีกด้านหนึ่ง หนังสือเล่มแรกๆของเขาช่วยกระตุ้นให้ผู้คนมากมายฉุกคิดกับมุมมองที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน ซึ่งนำไปสู่อิสรภาพทางการเงิน

เขาชี้ให้เห็นว่า การทำงานเพื่อเงินเดือนสูงๆ ไม่ช่วยให้รวย, เหตุที่คนส่วนใหญ่มีปัญหาทางการเงิน เพราะระบบการศึกษาสอนให้ขยันเรียน ออกไปหางานดีๆกับบริษัทที่มั่นคง หรือทุกวันนี้ เราทำงานเพื่อเงิน โดยไม่รู้ว่าสามารถใช้เงินทำงานแทนเราได้ เป็นต้น

หนังสือเงินสี่ด้านบอกว่า คนส่วนใหญ่ในโลกล้วนกำลังดิ้นรนหาเงินเลี้ยงชีพแบบ Active Income และโรเบิร์ต คิโยซากิ ยังจำแนกคนที่ทำงานหาเงินด้วยวิธีนี้เป็นสองจำพวกใหญ่ๆคือ ลูกจ้าง (Employee) และ เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Small Business / Self-employed)

ภาพของกลุ่มแรก (E) นั้นชัดเจน เป็นคนต้องทำงานในวงราชการ รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน รวมถึงธุรกิจเล็กๆน้อยๆ แล้วรับเงินเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ หรือรายเดือนก็ว่ากันไป จะมีรายรับหลักพัน หมื่น หรือแสนบาท ยังเข้าข่ายเป็นลูกจ้างอยู่ดี ส่วนอีกกลุ่ม (S) แยกย่อยเป็นสองพวกได้แก่ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ หรือเอาท์ซอร์ชที่รับงานมา (Self-employed) เช่น ทนายความ ช่างซ่อมไฟฟ้า ช่างทำงานฝีมือ นักเขียน นักแปล นักพูด วิทยากร เทรนเนอร์ส่วนตัว ฯลฯ และเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก (Small Business) เช่น ขายของตลาดนัด แผงลอย เจ้าของแฟรนไชส์เล็กๆอย่าง ข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ ทำกุญแจ ซ่อมนาฬิกา ฯลฯ คนกลุ่มนี้มีธุรกิจเป็นของตัวเองแต่ยังต้องลงมือทำงานเอง ซึ่งรวมถึงเจ้าของธุรกิจใหญ่โตลงทุนหลักล้าน แต่ปล่อยมือไม่ได้ ไว้วางใจใครไม่เป็น ยังต้องเข้าออฟฟิศ ตามเก็บงานทุกเม็ด ก็ยังเป็นเจ้าของธุรกิจที่ "ต้องออกแรง จึงได้เงิน"

ผ่านแล้วสองกลุ่มของเงินสี่ด้าน ยังเหลืออีกสอง สองกลุ่มหลังใช้วิธีสร้างรายได้แบบ Passive Income คือเงินไหลเข้ามาเรื่อยๆ ขณะที่เจ้าตัวไม่เข้าออฟฟิศ ไม่ได้ทำงาน นอนเล่นอยู่ในบ้าน พักผ่อนหย่อนใจที่ต่างจังหวัดต่างประเทศ

มีด้วยหรือ "ไม่ต้องออกแรง ก็ได้เงิน" ... มีซิครับ โรเบิร์ต คิโยซากิ เขียนไว้แล้วในหนังสือเงินสี่ด้าน ซึ่งฉบับภาษาไทย หนาเกือบ 400 หน้า!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น